xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนรอยคดีโหด “ฆ่าหั่นศพ” จากมุมมืดของ "ความรัก" สู่ฆาตกรรม "อำมหิต"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

คดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ ยามนี้คงไม่มีคดีใดเขย่าขวัญสั่นประสาทมากไปกว่าคดีฆ่าหั่นศพ 14 ชิ้น โยนทิ้งข้างทางซอยสามวา ย่านมีนบุรี คดีนี้ตำรวจใช้เวลาไม่นานสามารถจับกุมตัวนายธนกฤต หรือ วุธ ประกอบ วัย 36 ปี ฆาตกรโหดได้ ส่วนหญิงสาวที่ถูกฆ่าหั่นศพเป็นอดีตแฟนสาววัย 24 ปี ชื่อ ลักษณา หรือ เมย์ กำลังเก่ง ส่วนสาเหตุมาจากความโกรธที่ถูกบอกเลิก


คดีฆ่าหั่นศพในประเทศไทย เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง คดีดังก่อนหน้านี้เมื่อปี 2560 มีผู้พบศพหญิงสาวถูกหั่นเป็น 2 ท่อน ถูกฝังดินในป่าบ้านโนนสง่า ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจนพบว่า ผู้ตายคือ น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย หรือน้องแอ๋ม อายุ 23 ปี สาว คาราโอเกะ ใน จ.ขอนแก่น จึงแกะรอยไล่ตั้งแต่ร้านคาราโอเกะ ตรวจกล้องวงจรปิด จนได้เบาะแสมีรถต้องสงสัย มารับน้องแอ๋ม ที่หน้าปากซอยหอพัก ก่อนที่จะพบเป็นศพถูกหั่น ต่อมาตำรวจขอศาลจังหวัดขอนแก่นออกหมายจับ น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว, น.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น, น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้, นายวศิน นามพรม และต่อมาออกหมายจับ น.ส.จิดารัตน์ พรหมคุณ หรือ เบนซ์ อีกคน

นายวศิน ถูกจับได้ที่ลาว ขณะที่ เปรี้ยว เอิร์น และแจ้ หนีไปกบดานที่พม่า แต่ต่อมาทางการพม่า จับกุมตัวทั้ง 3 คนส่งให้เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินคดี ส่วนสาเหตุที่ลงมือฆ่าหั่นศพ เนื่องจากมีปัญหาหนี้สินเก่าที่ยืมไปประมาณ 3-4 หมื่นบาท และคดียาเสพติดที่แอ๋ม ถูกตำรวจจับเมื่อปลายปี 2559 ต่อมาเจ้าหน้าที่ขยายผลถึงเปรี้ยว จนอดีตสามีถูกจับ

คดีที่โด่งดังและยังเป็นที่จดจำจนถึงขณะนี้อีกคดีเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 เมื่อนายเสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 2 ในขณะนั้น ฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี แฟนสาวรุ่นพี่ นักศึกษาแพทย์ ชั้นปี 5 ซึ่งเป็นแฟนแล้วถูกบอกเลิกจึงโกรธ วางแผนชวนมาที่ห้องพัก เพื่อปรับความเข้าใจ แต่ฝ่ายหญิงยืนยันที่จะเลิก จึงใช้ปืนจ่อยิงที่ศีรษะจนเสียชีวิต จากนั้นใช้มีดผ่าตัดชำแหละศพ แยกชิ้นส่วนอวัยวะทิ้งลงชักโครก นำกะโหลกศีรษะทิ้งแม่น้ำบางปะกง คดีนี้นายเสริม รับสารภาพ ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่จำคุกจริง 13 ปี 9 เดือน เพราะขณะอยู่ในเรือนจำ ปฏิบัติตัวดี ได้รับการอภัยโทษ 5 ครั้ง
เสริม สาครราษฎร์
อีกคดีเกิดขึ้นหลังคดีนายเสริม 3 ปี คือเมื่อปี 2544 เกิดเหตุ นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ และหมอด้านสูตินรีเวช ฆ่าหั่นศพ พญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร ภรรยาของตนเอง โดยผสมยานอนหลับในอาหารจนเกิดอาการมึนงง ก่อนนำตัวไปขังในห้องพัก อาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และใช้ของมีคมฆ่า จากนั้นจึงใช้มีดผ่าตัดแล่ชิ้นเนื้ออวัยวะต่างๆ นำไปทิ้งบ่อเกรอะอาคารวิทยนิเวศน์ และ โรงแรมโซฟิเทล แล้วทำทีแจ้งความกับตำรวจว่าภรรยาหายตัวไป พร้อมปลอมหนังสือลางาน และจดหมาย เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจแกะรอยจนมั่นใจว่า นพ.วิสุทธิ์ เป็นผู้ลงมือฆ่าหั่นศพภรรยาตัวเอง

ส่วนสาเหตุมาจาก พญ.ผัสพร พบว่า นพ.วิสุทธิ์ สามี ไปสนิทสนมกับคนไข้ จึงบังคับให้เขียนจดหมายสารภาพผิดเอาไว้ และต่อมาเกิดเรื่องอีกหลายครั้ง จน นพ.วิสุทธิ์อึดอัดขอหย่า แต่ พญ.ผัสพรไม่ยอม พร้อมขู่จะไปร้องเรียนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ นพ.วิสุทธิ์ ทำงานอยู่ รวมทั้งไปร้องต่อแพทยสภา ซึ่งจะทำให้เสียชื่อเสียง และหมดอนาคตทางวิชาชีพแพทย์ จึงวางแผนฆ่า

คดีนี้ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา พิพากษาประหารชีวิต แต่ นพ.วิสุทธิ์ ถูกขังในเรือนจำแค่ 10 ปี 7 เดือนก็ได้รับการพักโทษถูกปล่อยตัวออกมา เพราะขณะถูกคุมขังได้รับการอภัยโทษหลายครั้ง เป็นผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ระหว่างต้องโทษทำประโยชน์ด้วยการช่วยดูแลผู้ป่วย

ต่อมาต้นปี 2558 เกิดฆาตกรรมหั่นศพ อีกคดีที่ จ.สระบุรี เมื่อมีผู้พบศพหญิงสาว อายุประมาณ 30-35 ปี ถูกฆ่าแยกส่วนศีรษะ ลำตัว แขน ขา เท้า ใส่ถุงปุ๋ยสีขาว 4 ใบ และถุงดำ 1 ใบ วางทิ้งอยู่ในป่าใต้สะพานลอยต่างระดับแก่งคอยบ้านนา อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ต่อมา นายกมลชาติ แก้วทอง เดินทางมาขอดูภาพศพ โดยบอกกับตำรวจว่า ภรรยาชื่อ น.ส.วรรณวิมล ม้าเทศ ได้หายตัวไปจากบ้านพัก แต่จากการตรวจดูภาพชิ้นส่วนศพกับเสื้อผ้าแล้วนายกมลชาติ ยืนยันไม่ใช่ภรรยาตัวเอง เจ้าหน้าที่จึงให้ไปนำบุตรสาวมาตรวจเปรียบเทียบดีเอ็นเอ แต่นายกลมชาติกลับหายตัวไป

จนต่อมาผลการตรวจดีเอ็นเอ ยืนยันว่าศพที่พบคือ น.ส.วรรณวิมล ม้าเทศ ตำรวจจึงตามไปจับตัวนายกมลชาติ มาสอบสวนจนยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าและหั่นศพ น.ส.วรรณวิมล เพราะอารมณ์ชั่ววูบ บวกกับความหึงหวง หลังเกิดมีปากเสียงทะเลาะกับภรรยาอย่างรุนแรง และที่สามารถหั่นศพได้เป็นอย่างดี เพราะเคยทำงานรับจ้างแล่เนื้อหมูอยู่ที่ อ.แก่งคอย จึงมีความชำนาญในการใช้มีด

นอกจากนี้ยังมีคดีชาวต่างชาติที่เข้ามาก่อเหตุฆ่าหั่นศพในประเทศไทยหลายคดี อย่างเมื่อกว่า 20 ปีก่อน เกิดเหตุพบชิ้นส่วนมนุษย์ในกระเป๋าเดินทางถูกโยนทิ้งในคลองผดุงกรุงเกษม ต่อมาพบส่วนศีรษะที่ถูกบั่นถูกพบในคลองแสนแสบ ใบหน้าและหนังศีรษะมีรอยมีดกรีดลอกหนังออกไปจนถึงแก้มและริมฝีปากอย่างอำมหิต อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าพบกุญแจสำคัญที่สามารถไขคดีนี้ได้ คือผ้าขนหนูมีตราของโรงแรมแห่งหนึ่งย่านโบ๊เบ๊

จากการสอบถามแม่บ้านของโรงแรม ทราบว่ามีชายต่างชาติคนหนึ่งมาหยิบผ้าขนหนูของโรงแรมไปหลายผืน และยังพบภาพชายต้องสงสัยจากกล้องวงจรปิด ลากกระเป๋าออกมาจากลิฟต์ มีท่าทีพิรุธ แถมมีข้อมูลว่าชาวต่างชาติรายนี้ขอเปลี่ยนห้องพัก จึงเข้าควบคุมตัวทราบชื่อ นายอีลี โคเฮน ชาวอิสราเอล ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าหั่นศพอดีตภรรยาชาวอิสราเอล ที่ชักชวนมาเที่ยวเมืองไทย และพยายามงอนง้อขอคืนดีแต่ไม่เป็นผล ด้วยความโกรธจึงลงมือฆ่า และหั่นศพดังกล่าว

อีกคดีเป็นการฆ่าหั่นศพแช่ตู้เย็น ในพื้นที่ สน.พระโขนง เหตุเกิดเมื่อปี 2559 โดยก่อนพบศพ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมชาวต่างชาติ 3 คน พร้อมพาสปอร์ตปลอมจำนวนมากได้ที่ห้องพักย่านพระโขนง จากการตรวจค้นห้องพัก พบศพชายเชื้อชาติฮังการี สัญชาติอเมริกัน ถูกหั่นแยกชิ้นส่วนซ่อนไว้ในตู้เย็น และจากการตรวจสอบพบตายมานานแล้ว แต่ไม่สามารถระบุได้ว่านานแค่ไหนเพราะศพถูกเก็บอยู่ในตู่เย็น คดีนี้ผู้ต้องหาโดยเฉพาะนายปิเตอร์ เจ้าของห้องให้การปฏิเสธและไม่ยอมสารภาพ จึงเป็นปริศนาถึงการตายและสาเหตุการตาย ตำรวจทำได้แค่สันนิษฐานว่า มาจากเรื่องโกรธแค้นส่วนตัว ชู้สาว ประเด็นรักร่วมเพศ หรือหักหลังธุรกิจ

อีกคดีปลายปี 2559 เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งว่า นายเอลิยาฮู โคเฮน อายุ 63 ปี อดีตเจ้าหน้าตำรวจใหญ่ชาวอิสราเอล ได้หายตัวไปจากห้องพัก คอนโดมิเนียน ย่านจรัญสนิทวงศ์ พร้อมรถยนต์โตโยต้า ยาริส สีบรอนซ์ ทะเบียน ขธ 3926 ชลบุรี ต่อมาจากการสืบสวนพบว่า นายซีมอน บินตัน นำบัตรเครดิตของนายเอลิยาฮู ไปใช้ จึงนำกำลังเข้าตรวจค้น บ้านพัก ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรีพบคราบเลือดที่บานพับประตู และได้กลิ่นเหม็นเน่า อีกทั้งยังพบร่องรอยการก่อปูนมีลักษณะเพิ่งเสร็จใหม่ๆ ใกล้ห้องน้ำใต้บันได เมื่อทุบปูนออก พบศพถูกหั่นเป็น 3 ท่อน แบ่งใส่ถุงดำ 3 ถุง ถุงแรก เป็นส่วนศีรษะ มี รอยถูกฟันกลางศีรษะ ถุงที่ 2 เป็นขาซ้าย สวมถุงเท้าสีดำ และถุงที่ 3 เป็นถุงใหญ่ ใส่ส่วนที่เหลือของร่างกาย

นายซีมอน บินตัน รับสารภาพว่า ก่อเหตุฆ่าหั่นศพเอง เพราะความหึงหวงผู้ตายที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟนสาวของตน จึงเกิดความหึงหวง และบันดาลโทสะ ลงมือฆ่าตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน

คดีฆ่าหั่นศพ หากสังเกตดูจะพบว่าส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด มาจากความรักเป็นหลัก มีทั้ง รักมากแล้วถูกตีจากเลยเกิดความแค้น หึงหวงคนรักที่ไปมีแฟนใหม่ และหมดรักแล้วแต่อีกฝ่ายไม่ยอมเลิก จึงโกรธ และเกิดบันดาลโทสะเลยลงมือฆ่าแล้วหั่นศพทิ้ง ขณะที่บางคดีหั่นศพเพื่อให้สามารถขนย้ายไปทิ้งได้สะดวก บางรายต้องการอำพรางคดี แต่ทั้งหลายทั้งปวงมันสะท้อนถึงความเสื่อมโทรมทางสังคมที่ตกต่ำ คุณธรรมหดหาย และศีลธรรมเสื่อมถอยของผู้คนในยุคปัจจุบัน


กำลังโหลดความคิดเห็น