MGR Online - ตำรวจแนะวัดที่ถูกพาดพิงคดีเงินทอนวัดเข้าแจ้งความดำเนินคดี “พิสิฐชัย” บิ๊กดีเอสไอได้ทันที ด้าน ผบก.ปปป. ยันยังไม่พบข้อมูลวัดที่ถูกกล่าวหาทุจริตแต่อย่างใด พบที่แท้ลูกศิษย์วัดสระเกศฯ ต้นตอแพร่ข่าวเท็จทางโซเชี่ยล
วานนี้ (10 มิ.ย.) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. กล่าวถึงกรณีที่ นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับคดีเงินทอนวัด ว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอเตรียมจับกุมเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ วัดพิชัยญาตฯ วัดบวรฯ และ วัดราชสิทธิฯ จนทำให้เกิดความสับสนว่าวัดดังเหล่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 4 หรือไม่ ว่า ในส่วนนี้ยืนยันว่า ยังไม่มีข้อมูลการกระทำผิดเกี่ยวกับวัดดังกล่าวแต่อย่างใด เนื่องจากขณะนี้ทาง บก.ปปป. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าวนั้น ยังไม่ได้รับการเข้าร้องทุกข์แจ้งความจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดในคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 4 อีกทั้งขั้นตอนการดำเนินการคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 4 ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งการที่ นายพิสิฐชัย นำข้อมูลเหล่านี้มาเผยแพร่ตนเองก็ไม่ทราบว่าไปเอาข้อมูลมาจากที่ใด
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวน กองปราบปรามได้เชิญตัว นายพิสิฐชัย มาให้ปากคำและชี้แจงถึงกรณีที่โพสต์เฟซบุ๊กดังกล่าว และข้อมูลที่นำมาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้นได้มาจากที่ใด เนื่องจากเป็นการทำให้สังคมเกิดความสับสน อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวน กองปราบปรามยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับ นายพิสิฐชัย แต่อย่างใด เนื่องจากกรณีนี้ยังไม่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่ได้ทำหนังสือแจ้งไปทางดีเอสไอต้นสังกัดให้ทราบถึงพฤติกรรมของ นายพิสิฐชัย แล้ว จากนั้นได้ทำประวัติก่อนปล่อยตัวกลับไป อย่างไรก็ตาม หากวัดใดได้รับความเสียหายก็สามารถที่จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีได้ทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปล่อยข่าวว่าจะมีการตรวจค้นวัดเพิ่มเติมนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยชุดสืบสวนกองปราบปรามได้ตรวจสอบในทางลับ พบว่า กลุ่มผู้ที่ปล่อยข่าวนั้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกศิษย์ลูกหาของวัดสระเกศฯ โดยปล่อยข่าวลวงให้กับกลุ่มผู้สื่อข่าวและผ่านสังคมออนไลน์ ซึ่งข้อความส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเท็จ และทำให้พระผู้ใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับความเสียหาย เพราะขณะนี้ในส่วนของกองปราบปรามยังไม่ได้มีการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมนอกเหนือจากวัดที่เข้าค้นและจับกุมตัวผู้ต้องหาไปแล้ว ทั้งนี้ คาดว่า การปล่อยข่าวดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อทำให้สังคมปั่นป่วนสับสนและต้องการที่จะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในสังคม ขณะนี้กองปราบกำลังพิจารณาข้อกฎหมายว่าจะดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวในข้อหาใดได้บ้างซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนรู้ตัวแล้ว
สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ศาลจังหวัดนครพนมได้ออกหมายจับ 5 ผู้ต้องหาประกอบด้วย นางศศิร์อร เจียมวิจิตรกุล อายุ 54 ปี สีกาคนสนิทอดีตพระพรหมเมธี นายพีรวิช ศรีศรัทธา อายุ 28 ปี เป็นคนที่คอยให้การช่วยเหลือ ส่วนอีก 3 คน ประกอบด้วย นางจันทนา หรือ จันตนา รัตนวงศ์ นางจิตติมา ลัตะมะวง ลูกสาว และ นายน้อย รัตนวงศ์ ลูกชาย ทั้ง 3 คนเป็นชาวลาว โดยชุดสืบสวนได้ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ให้นำหมายจับใส่เข้าไปในระบบตรวจคนเข้าเมืองแล้ว หากเดินทางกลับเข้ามาเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการจับกุมและควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม ได้ทันที
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากการตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่า นายพีรวิช ศรีศรัทธา หนึ่งในห้าผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในครั้งนี้ด้วยนั้น พบว่าเป็นคนเดียวกันกับนาย “โค้ต” หลานของอดีตพระพรหมเมธี ที่เดินทางไปประเทศเยอรมนี ด้วยกันกับอดีตพระพรหมเมธี ชุดสืบสวนสอบสวน คาดว่า อีกไม่นาน นายพีรวิช น่าจะเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากข้อหาความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 189 ที่ระบุว่า ผู้ใดช่วยผู้อื่น ซึงเป็นผู้กระทำความผิด เพื่อไม่ให้ต้องโทษหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม เป็นคดีลหุโทษที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นโทษที่ไม่ร้ายแรงและไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่ประเทศเยอรมนีต่อไปอีก