MGR Online - เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือผู้ตรวจแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิฯ ตรวจสอบตำรวจทำเกินกว่าเหตุ ละเมิดสิทธิมนุษยชนในการบุกจับอดีตพระพุทธะอิสระ พร้อมเสนอนายกฯ ปรับปรุงกฎหมาย และระเบียบในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์
วันนี้ (28 พ.ค.) เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ชั้น 9 อาคารบี ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมีนายฐนภณ ธนวชิรนนท์ เจ้าหน้าที่สอบสวนอาวุโสระดับสูง เป็นผู้รับเรื่องแทน ร้องเรียนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้เสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ ในการเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่พระภิกษุโดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ
รวมทั้งตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมยุษยชน และเสนอแนะมาตราการหรือแนวทางที่เหมาะสม ในกรณีการดำเนินการของเข้าหน้าที่ตำรวจหน่วยคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือ กองบังคับการปราบปราม ในการเข้าจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ซึ่งถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมและอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนาตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา
โดยนายศรีสุวรรณเปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นการทั่วไปในการดำเนินการของของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยคอมมานโดพร้อมอาวุธครบมือในการเข้าจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เมื่อเช้ามืดวันที่ 24 พ.ค.ที่ผานมา ซึ่งมีคลิปวิดีโอเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย เห็นมีการทุบประตูและเข้าจับกุมขณะอยู่บนที่นอนจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์อย่างล้นหลามต่อเนื่องว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมและอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาจมีความผิดในลักษณะเหยียดหยามศาสนา ตามบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 และเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 มาตรา 27, 29 วรรคสอง, 31, 67 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาโดยชัดแจ้ง
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า กรณีของอดีตพระพุทธะอิสระนั้น ในทางกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอดีตพระพุทธะอิสระไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนีเลยแต่อย่างใด ยังคงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ ณ กองปราบปราบฯในหลายๆ กรณี และไปขึ้นศาลในคดีความต่างๆ เรื่อยมา เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจพึงที่จะต้องมีหมายเรียกผู้ต้องหามาสอบปากคำก็เพียงพอแล้ว มิใช่ใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยใช้กองกำลังคอมมานโดนับร้อยเข้าดำเนินการเข้าจับกุม ทำลายทรัพย์สิน และใช้วาจาในลักษณะเดียวกันกับบุคคลทั่วไปที่เป็นผู้ก่อการร้ายหรือผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรง
แม้นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงจะออกมากล่าวขอโทษต่อประชาชนและศิษยานุศิษย์ของพระพุทธะอิสระแล้วก็ตาม แต่ทว่าคำขอโทษก็เป็นเพียงลมปากที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในทางกฎหมายถึงการกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไปในอนาคตไม่ได้
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจำเป็นต้องใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 มาตรา 50 (1) เพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งศาสนา จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินละคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้มีการปรับปรุงกฎหมาย, กฎ, ข้อบังคับ, ระเบียบหรือคําสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ ในการเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่พระภิกษุโดยไม่จําเป็น หรือเกินสมควรแก่เหตุ รวมทั้งตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีดังกล่าว และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
หลังจากนั้นได้เดินทางไปสำนักงานคณะกรรมสิทธมนุษยชน ชั้น 6 พบนายบุญเกื้อ สมนึก รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือ โดยทั้ง 2 หน่วยงานรับเรื่องไว้ดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ต่อไป