MGR Online - สตช.บูรณาการทำงานหลายหน่วยงาน ตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการจราจร สัปดาห์หน้านี้จะเริ่มดำเนินการวางแผนจัดการจราจรใน 3 เส้นทางหลัก ลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางก่อสร้าง มีการปิดกั้นพื้นที่เกินความจำเป็น
วันนี้ (18 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ (ผบช.สยศ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผบก.ส.3 ในฐานะคณะทำงานแก้ปัญหาจราจร แถลงความคืบหน้าการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการจราจรตามนโยบายของรัฐบาลหลังได้มีการประชุมวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกันตั้งเป็นศูนย์ควบคุมสั่งการและแก้ไขปัญหาการจราจรในเขต กทม.และปริมณฑล เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน เพื่อประสานงานแก้ไขปัญหาการระบายรถโดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน โดยในสัปดาห์หน้านี้จะเริ่มดำเนินการวางแผนจัดการจราจรใน 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนสามเสน ถนนสาทร และถนนสุขุมวิท-เพชรบุรี ซึ่งทั้งสามเส้นทางมีปัญหาการจราจรติดขัดมากที่สุดเนื่องจากมีสถานศึกษาตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก โดยจะมีการประเมินผลในทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ จะมีการลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางก่อสร้าง โดยให้กรุงเทพมหานครสำรวจเพื่อคืนผิวจราจรให้กับประชาชน เนื่องจากพบว่ามีการปิดกั้นพื้นที่เกินความจำเป็น ส่วนมาตรการรับมือหน้าฝนจะประสานกับสำนักงานระบายน้ำล่วงหน้าว่าจุดไหนมีปัญหาจะได้เตรียมพร่องน้ำไว้ก่อนเพื่อรองรับน้ำ หากมีปัญหาน้ำท่วมขังจะได้ระบายได้ทันท่วงที
พล.ต.ท.ไกรบุญกล่าวว่า ศูนย์ฯ ดังกล่าวมี พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ ยืนยันว่าแม้ศูนย์ดังกล่าวจะมีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน แต่จะไม่มีการปัญหาในการสั่งการอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ก็มีการทำงานร่วมกัน มีความตั้งใจแก้ไขปัญหาร่วมกัน การทำงานของศูนย์ดังกล่าวนอกจากหน่วยงานต่างๆ แล้วจะมีบูรณาการโดยใช้กล้องวงจรปิดทั้งหมด 2,918 ตัวใน กทม.และปริมณฑล โดยเป็นกล้องของ กทม. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือกรมทางหลวง มาช่วยควบคุมดูแลการจราจร ส่วนการนำระบบกล้องเลนส์เชนจ์มาใช้ในการควบคุมจราจร 15 จุด พบว่าครบ 1 สัปดาห์มีการฝ่าฝืนแล้ว กว่า 1.4 แสนราย
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์กล่าวว่า ที่ประชุมวานนี้ (18 พ.ค.) มีการเสนอแก้ พ.ร.บ.การจราจรทางบก เพื่อช่วยส่งเสริมวินัยจราจร โดยจะนำวิธีการตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งส่งผลต่อการต่อใบขับขี่ โดยข้อมูลดังกล่าวจะลิ้งก์กับกรมการขนส่งทางบก เบื้องต้นกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาของ สนช.แล้ว โดยในวันที่ 7 มิ.ย.มีการทำประชาพิจารณ์ก่อนประกาศใช้ต่อไป เชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้
