MGR Online - ปฏิบัติยุทธการ X-RAY OUTLAW FOREIGNER ครั้งที่ 9 จับกุมผู้กระทำความผิด 99 ราย เตรียมส่งกลับประเทศต้นทางเพื่อไม่ให้กลับมากระทำความผิดในประเทศไทยได้อีก เผยจากการปฏิบัติการ 1,024 ครั้ง สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 4,000 ราย
เมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 26 เม.ย. ที่โรงแรมมณฑียร ถ.สุรวงศ์ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประเสริฐ เงินยวง ผบก.ทท.1, พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท.2, พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1, พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ., พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา รอง ผบก.ทท.1, เจ้าหน้าที่กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191, หน่วยอรินทราช 26, หน่วยรบพิเศษสยบไพรี จากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ สน.บางรัก ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติยุทธการ X-RAY OUTLAW FOREIGNER ครั้งที่ 9
ทลายเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติและการท่องเที่ยว ที่แฝงตัวเข้ามาก่อเหตุอาชญากรรมในประเทศไทย โดยได้มีการปิดล้อมตรวจค้นทั้งหมด 118 เป้าหมาย สามารถจับกุมผู้กระทำความผิด 99 ราย ในข้อหาหลักประกอบไปด้วย เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุดการอนุญาต ส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า, อินเดีย และเยอรมนี, เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนใหญ่เป็นสัญชาติพม่า, ลาว และอินเดีย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า เป็นปฏิบัติการที่ช่วยกวดขันจับกุมกลุ่มชาวต่างชาติ โดยเฉพาะต่างชาติผิวสีที่เข้ามาในประเทศและแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อเข้ามาก่ออาชญากรรม ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการปฏิบัติการพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งในพัทยา หาดใหญ่ และเกาะสมุย แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีการตรวจค้นโรงเรียนนานาชาติอีก 74 แห่ง เนื่องจากชาวต่างชาติผิวสีมักจะแฝงตัวเป็นครูสอนภาษา และอยากจะขอความร่วมมือจากโรงเรียนนานาชาติทุกแห่งอย่ารู้เห็นเป็นใจทำเรื่องรับรองนักท่องเที่ยวต่างชาติจากวีซ่านักท่องเที่ยวมาเป็นวีซ่านักเรียน เพราะถือว่ามีความผิดสามารถดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวต่ออีกว่า จากการตรวจสอบต่างชาติที่เข้ามาก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งกลุ่มเครือข่ายหลอกลวงแต่งงาน (Romance Scam) กลุ่มเครือข่ายผลิตและปลอมบัตรเครดิต (Skimming) และยาเสพติด ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติผิวสี ทั้งไนจีเรีย และกินี บางรายมีเงินในบัญชี 3-4 แสนบาทโดยไม่มีที่มาที่ไป และภายหลังการจับกุมจะทำการตรวจดีเอ็นเอเพื่อเป็นข้อมูลขึ้นบัญชีดำและผลักดันกลับประเทศต้นทางเพื่อไม่ให้กลับมากระทำความผิดในประเทศไทยได้อีก อย่างไรก็ตาม จากการปฏิบัติการ 1,024 ครั้ง สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 4,000 ราย และพบว่าการก่อเหตุอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่เมืองหลวงลดลงอย่างมากอีกด้วย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ทท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สปพ.สามารถจับกุมนายเอซีโอชานนามดิลักกี (EZEOCHANNAMDILUCKY) อายุ 35 ปี สัญชาติไนจีเรีย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 138/2561 ลงวันที่ 10 เมษายน 2561 ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต สามารถจับกุมได้ในในห้องพักย่านเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่านายเอซีโอชานนามดิลักกี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 138/2561 ลงวันที่ 10 เมษายน 2561 พักอาศัยอยู่บริเวณดีคอนโด ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.๙ จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตการณ์ เมื่อพบชาวต่างชาติตำหนิรูปพรรณเดียวกับผู้ต้องหาจึงแสดงหมายจับและเข้าจับกุมผู้ต้องหาก่อนจะนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบ นายเอซีโอชานนามดิลักกี ถือวีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราว (NON-90) อุปการะเลี้ยงดูครอบครัว (มีภรรยาและบุตรเป็นคนไทย)