MGR Online - ดีเอสไอแจงสาวนักธุรกิจอสังหาฯ ยื่นร้องเรียนข้าราชการซี 9 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ข่มขืนถ่ายรูปแบล็กเมล์ขู่ลงโซเชียลฯ ตั้งแต่เดือน ก.พ.60 พร้อมฟ้องศาลพัทยาอีกทาง ล่าสุดปลัด ยธ.สั่งตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเมื่อ 6 ก.พ.61 คาดเสร็จใน 180 วันตามกำหนด
วันนี้ (16 ก.พ.) คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกเอกสารชี้แจง โดยมีข้อความระบุว่า “ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่างๆ ว่า เมื่อวานนี้ (วันที่ 15 ก.พ. 2561) สาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่งได้ร้องขอความเป็นธรรมที่กองบังคับการปราบปราม กรณีถูกข้าราชการระดับซี 9 สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ ข่มขืนกระทำชำเรา พร้อมทั้งข่มขู่จะนำภาพลับไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียนั้น
กรมสอบสวนคดีพิเศษขอชี้แจงว่า สาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าวได้เคยเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วเมื่อเดือน ก.พ. 2560 แต่เนื่องจากผู้ถูกร้องเรียนเป็นข้าราชการระดับ 9 (เชี่ยวชาญ) ดังนั้น การพิจารณาดำเนินการทางวินัยจึงอยู่ในอำนาจของปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้รายงานไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อโปรดพิจารณา โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเมื่อเดือน เม.ย. 2560
ล่าสุดในเดือน ก.พ.2561 กระทรวงยุติธรรมได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงต่อข้าราชการรายดังกล่าวแล้ว โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ส่วนที่ผู้เสียหายได้ไปใช้สิทธิฟ้องคดีอาญาเองที่ศาลจังหวัดพัทยา และขอความเป็นธรรมต่อกองบังคับการปราบปรามก็เป็นส่วนของคดีอาญาที่สามารถทำได้อีกส่วนหนึ่ง ขณะที่การสอบสวนในส่วนของความผิดทางวินัยเรื่องนี้ก็ต้องนำผลของคดีอาญามาประกอบการพิจารณาด้วย ต้องทำความจริงให้ปรากฏและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เมื่อมีความคืบหน้าของผลการสอบสวนทางวินัยเป็นประการใดแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้แจ้งผลให้สาธารณชนทราบต่อไป”
ด้าน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตามประเด็นข่าวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สาว พร้อมทนายความเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปรามเพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีถูกข้าราชการสังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษข่มขืน พร้อมขู่จะนำภาพลับไปเผยแพร่เมื่อปี 2559 และยังมีพฤติการณ์โทรศัพท์มาข่มขู่เรียกเงินและขอมีเพศสัมพันธ์อีก และหากไม่ยอมจะนำคลิปไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียจนเกิดความเครียดจนต้องหนีไปต่างประเทศ แต่ยังถูกแฮกเบอร์โทรศัพท์ เฟซบุ๊ก และอีเมล มาเยาะเย้ยตลอดเวลา จนทนไม่ไหวจึงนำเรื่องร้องเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษต้นสังกัด และได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนแต่เรื่องก็เงียบไป โดยทราบว่าผลสอบสรุปมีความผิดเล็กน้อยลงโทษแค่ตัดเงินเดือนซึ่งไม่เป็นธรรม จึงให้ทนายฟ้องศาลจังหวัดพัทยาในคดีข่มขืนกระทำชำเราซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลนั้น
นายธวัชชัยกล่าวว่า ตามที่ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหรือสอบสวนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญระดับสูง จึงเป็นอำนาจของปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รายงานมายังปลัดกระทรวงยุติธรรมได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. 2561 และได้แจ้งคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาลงนามรับทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2561 โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ถูกกล่าวหา และวางแนวทางการกำหนดประเด็นการสอบสวน ดูตามตารางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ แล้วจะเริ่มประชุมนัดแรกในสัปดาห์หน้า และถ้าหากมีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนหรือประเด็นข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กระบวนการสอบสวนทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน 180 วันตามที่กฎหมายกำหนด
นายธวัชชัยเผยต่อว่า ตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม หากข้อกล่าวหาของข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมนั้นเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่หรือเป็นอุปสรรคในการสอบสวน กระทรวงฯ ก็สามารถมีคำสั่งให้พักราชการข้าราชการดังกล่าวไว้ก่อนก็ได้ จากพิจารณาเบื้องต้นกรณีดังกล่าวมิได้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ทางราชการและยังไม่พบว่าเป็นอุปสรรคในการสอบสวนทางวินัยแต่ประการใด แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีประเด็นดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นมาในระหว่างการสอบสวนฯ ก็สามารถมีคำสั่งพักราชการไว้ก่อนได้เช่นเดียวกัน
“การดำเนินการสอบวินัยร้ายแรงดังกล่าวมิได้เกี่ยวข้องกับการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการทำคู่ขนานกันไป หากผลการสอบสวนวินัยร้ายแรงเป็นการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริง โทษวินัยร้ายแรงจะมี 2 สถาน คือ ปลดออก ซึ่งเป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยได้รับบําเหน็จบํานาญเสมือนผู้นั้นลาออกจากราชการ หรือไล่ออก ซึ่งเป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยไม่ได้รับบําเหน็จบํานาญ แต่หากผู้ถูกกล่าวหาต้องคำพิพากษาให้จำคุกก็จะต้องไล่ออกสถานเดียว การลงโทษเพียงแค่ตัดเงินเดือนตามประเด็นข่าวจึงไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม กระทรวงยุติธรรมก็จำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกร้องด้วยเช่นกัน และขอยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการภายใต้กรอบเวลาของกฎหมาย” รองปลัดกระทรวงยุติธรรมกล่าว