MGR Online - ศาลสั่งจำคุก “วัฒนา” อดีตวิศวกรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย แนวร่วม นปช. วางระเบิดไปป์บอมบ์ใส่กระถางดอกไม้ รพ.พระมงกุฎเกล้า 26 ปี 12 เดือน
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (6 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีพยายามฆ่าผู้อื่นฯ หมายเลขดำที่ อ.2868/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวัฒนา หรือตุ่ม ภุมเรศ อายุ 62 ปี อดีตวิศวกรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อนฯ และทำให้เกิดระเบิดจนมีผู้บาดเจ็บสาหัส
กรณีเมื่อวันที่ 21-22 พ.ค. 2560 เวลากลางวัน จำเลยได้ประกอบทำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเองเป็นระบบไฟฟ้า (Electric Firing Circuit) หรือ IC TIMER ตั้งเวลาเป็นตัวจุดระเบิดประกอบกับวัตถุระเบิดแรงต่ำ (LOW EXPLOSIVE) ชนิดแดง-ดำ (BLACK POWDER) ชนิดไปป์บอมบ์ ใส่ไว้ในท่อพีวีซี 4 ชุด และใส่ในกระถางต้นไม้ 1 ชุด ที่บ้านพักย่านบางเขน ก่อนนำใส่ไว้ในแจกันดอกไม้ 1 ชุด ขึ้นรถโดยสารลอบไปติดไว้ที่ฝาผนังภายในห้อง “วงษ์สุวรรณ” รพ.พระมงกุฎเกล้า จนเกิดระเบิดขึ้นทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 21 ราย ทรัพย์สินเสียหายหลายรายการมูลค่า กว่า 1 ล้านบาท โดยจำเลยให้การรับสารภาพ
วันนี้ศาลได้เบิกตัวนายวัฒนา จำเลย จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังคำพิพากษา โดยมีญาติและภรรยามาให้กำลังใจ
ศาลพิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์มีพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เบิกความว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2560 ได้รับแจ้งเหตุเกิดระเบิดที่บริเวณจุดนั่งรอรับยา รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบเศษวัตถุระเบิด ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเอง และเมื่อได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ช่วงเวลาที่ใกล้กับเวลาเกิดเหตุ พบชายต้องสงสัยได้ถือแจกันดอกไม้ที่ใส่ไว้ในถุงพลาสติกเดินมาบริเวณที่เกิดเหตุ และขากลับออกไปในมือไม่ได้ถือแจกันดอกไม้อีก ซึ่งรูปพรรณสัณฐานผู้ต้องสงสัยนั้นมีลักษณะคล้ายกับจำเลย จึงได้มีการขอศาลออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวจำเลยได้ในเวลาต่อมา ซึ่งการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า จำเลยได้นำระเบิดที่ประกอบใส่ไว้ในรถที่จอดอยู่ใน กฟผ. โดยเช้าของวันที่ 22 พ.ค. จำเลยได้นำวัตถุระเบิดดังกล่าวไปยังโรงพยาบาล ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) ก็เบิกความถึงชนิดระเบิดว่า ผลิตจากท่อพีวีซีที่ใส่หัวตะปู มีการตั้งเวลา โดยรัศมีที่จะก่อให้เกิดอันตรายจากระเบิดมีระยะ 5-10 เมตร ซึ่งพยานทั้งสองปากดังกล่าวไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงเชื่อว่าไม่มีเหตุปรักปรำจำเลย ขณะเดียวกันจำเลยเป็นผู้นำชี้จุดสถานที่เกิดเหตุให้รายละเอียดถูกต้องตรงกัน รวมทั้งเมื่อตรวจเจอแผนผังวงจรประกอบระเบิดที่เขียนไว้ในกระดาษที่บ้านพักของจำเลย เป็นวงจรแบบเดียวกับที่ใช้ในการก่อเหตุ และเมื่อให้จำเลยทดลองประกอบก็สามารถทำได้ตามแผนผัง ซึ่งระเบิดนั้นจะทำให้เกิดระเบิดได้ อีกทั้งเมื่อตรวจสอบลายนิ้วมือก็พบว่าตรงกับชนิดวัตถุระเบิดในพื้นที่เคยเกิดเหตุที่หน้ากองสลากฯ และโรงละครแห่งชาติ ซึ่งหากจำเลยไม่ได้กระทำเองหรือก่อเหตุดังกล่าวก็ยากที่พนักงานสอบสวนจะให้รายละเอียดได้ รายละเอียดนั้นก็เกี่ยวกับครอบครัวจำเลย รวมทั้งแรงจูงใจการก่อเหตุ และวิธีการซึ่งมีรายละเอียดมาก ดังนั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามฟ้อง ซึ่งการกระทำของจำเลยตามฟ้องเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และทำให้เกิดระเบิดจนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส กระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 221, 222, 224 วรรคสอง ฐานทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา 358 ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตฐานทำให้เกิดระเบิดจนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 224 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักสุด, ฐานประกอบวัตถุระเบิดซึ่งทำให้เกิดระเบิด ให้จำคุก 3 ปี, ฐานครอบครองยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 1 ปี และฐานนำวัตถุระเบิดไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยฐานทำให้เกิดระเบิดฯ 25 ปี, ฐานประกอบวัตถุระเบิดฯ จำคุก 1 ปี 6 เดือน, ฐานครอบครองยุทธภัณฑ์ฯ จำคุก 6 เดือน และ ฐานนำวัตถุระเบิดไปในที่สาธารณะฯ ปรับ 500 บาท จึงรวมจำคุกทั้งสิ้น 26 ปี 12 เดือน ปรับ 500 บาท พร้อมให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีครอบครองวัตถุระเบิดที่บ้านพักจำเลย คดีหมายเลขดำ อ.2869/2560 ที่ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา ในข้อหาประกอบและมีวัตถุระเบิด และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองที่ให้จำคุก 4 ปี ปรับ 975 บาท ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีการยื่นอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายวัฒนาก็มีสีหน้าเรียบเฉย โดยใช้มือยกขึ้นป้องหน้าไว้ขณะเดินออกจากห้องพิจารณาคดี โดยมีญาติซึ่งเป็นหญิง 2 คน เดินตามออกมา เมื่อถามว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีหรือไม่ นายวัฒนา จำเลยไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ได้ควบคุมตัวเพื่อเตรียมนำตัวกลับเข้าเรือนจำต่อไป
อย่างไรก็ดี สำหรับนายวัฒนา อดีตวิศวกรวัย 62 ปี ยังได้ถูกอัยการยื่นฟ้องคดีที่ทำให้เกิดระเบิดในพื้นที่ กทม.อีก 4 สำนวนต่อศาลอาญาแล้ว ซึ่งอัยการยื่นฟ้องในความผิดฐานเดียวกับคดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ประกอบด้วย 1.คดีหมายเลขดำ อ.2926/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2560 กรณีเมื่อวันที่ 27-30 ก.ย. 2550 จำเลยนำระเบิดแสวงเครื่องที่ใส่ชิ้นส่วนโลหะ แบตเตอรี่ สายไฟ ดินดำ ในขวดพลาสติกซึ่งใส่น้ำมันเบนซิน และตั้งเวลาระเบิดไว้ 30 นาที นำไปวางไว้ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร ซึ่งเป็นเหตุให้ตำรวจ 2 นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยสูญเสียอวัยวะด้วย ขณะที่ตู้โทรศัพท์เสียหายเป็นเงิน 20,000 บาท
2.คดีหมายเลขดำ อ.3157/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2560 กรณีเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2550 จำเลยได้จัดเตรียมวัตถุระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมตั้งเวลา ใส่ไว้ในถุงพลาสติกแล้วนำไปวางไว้บนทางเท้าติดกับตู้โทรศัพท์สาธารณะของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริเวณปากซอยราชวิถี 24 แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต ซึ่งการระเบิดมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน และทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะนั้นเสียหาย กระจกแตก เป็นเงิน 1,000 บาท
3.คดีหมายเลขดำ อ.3221/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 ต.ค.2560 กรณีเมื่อวันที่ 14 -15 พ.ค.2560 จำเลยได้นำระเบิดแสวงเครื่องไปป์บอมตั้งเวลาที่ประกอบขึ้นเองติดตัวไปบนรถประจำทางตามถนนพหลโยธิน เขตบางเขน แล้วจำเลยนำระเบิดนั้นไปวางไว้ใต้ต้นไม้ บนฟุตบาทหน้าโรงละครแห่งชาติ เขตพระนคร จนทำให้เกิดระเบิดมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย
4.คดีหมายเลขดำ อ.3220/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 12 ต.ค.2560 กรณีเมื่อวันที่ 4-5 เม.ย.2560 จำเลยนำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเองซึ่งห่อด้วยกระดาษขาวม้วนกลมคล้ายห่อโรตีที่ใส่ถุงก๊อบแก๊บแล้วมัดปากถุง ออกจากบ้านพักย่านบางเขน แล้วนำขึ้นรถโดยสารประจำทางไปตามถนนราชดำเนิน แล้วนำไปวางไว้ใต้ต้นไม้ใกล้ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามร้านข้าวต้มสกายไฮ ถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งตั้งเวลาทำให้เกิดระเบิดจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย
โดยคดีทั้ง 4 สำนวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพไว้ อยู่ระหว่างรอศาลสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งมูลเหตุจูงใจที่เคยรับสารภาพในชั้นสอบสวนจำเลยอ้างว่า ไม่ชอบรัฐบาลและไม่ชอบทหาร
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีระเบิดในพื้นที่ กทม.นี้ หลังจากนายวัฒนาถูกจับกุมก็ได้มีการสอบสวนขยายผลว่าเป็นผู้ก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งให้อัยการฟ้องถึง 7 คดี โดยขณะนี้ยังเหลืออีก 1 สำนวน ซึ่งเป็นเหตุนำวัตถุระเบิดไปวางไว้ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์รัชโยธิน เขตจตุจักร เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2550 ที่อัยการยังไม่ได้มีคำสั่งคดี