MGR Online - ผบ.ตร.สั่งเปลี่ยนตัวประธานกรรมการสอบ “เกียรติพงษ์” รอง ผบก.น.5 พาผู้ต้องหาตามหมายจับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หนีฟังคำพิพากษาคดีทุจริตรับจำนำข้าว ตั้ง “ภาณุรัตน์” นั่งหัวโต๊ะ เผบข่าวกรองพบวันที่ 27 กลุ่มมวลชน นปช.นัดรวมตัว 27 ก.ย.หน้าศาลฎีกาอีกครั้ง
วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบช.น. เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงแทน พ.ต.อ.เกียรติพงษ์ นาลา รอง ผบก.น.5 กรณี พ.ต.อ.เอกชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รอง ผบก.น.5 มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีออกนอกประเทศ
พล.ต.ต.ภาณุรัตน์กล่าวว่า ตนเองเพิ่งได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ เมื่อคืนที่ผ่านมา โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.เป็นผู้แจ้งให้ทราบ เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างครอบคลุม และได้เลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันพรุ่งนี้ พร้อมเรียกคณะกรรมการสอบสวนเข้าร่วมประชุมทั้งหมดเพื่อวางแนวทางการสอบสวนและตรวจสอบเรื่องนี้ ตนเพิ่งทราบคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยเบื้องต้นทราบว่าสาเหตุที่มีการเปลี่ยนตัวจาก พ.ต.อ.เกียรติพงศ์ นาลา รอง ผบก.น.5 มาเป็นตนแทน น่าจะมาจากคนที่ถูกตรวจสอบ คือ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รอง ผบก.น. 5 ซึ่งมีตำแหน่งในระดับเดียวกัน จึงอาจจะไม่เหมาะสม ประกอบกับตนเองดูแลงานด้านความมั่นคง จึงมีข้อมูลเชิงลึกพอสมควร โดยการเปลี่ยนชุดคณะกรรมการก็ไม่ได้สร้างความหนักใจให้กับแนวทางการสอบสวน เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทั้งนี้จะมีการเรียกสอบข้อเท็จจริง พ.ต.ท.สามิตร ไชยอิ่นคำ สารวัตรกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม และ ดาบตำรวจพรพิพัฒน์ มากบุญงาม ผู้บังคับหมู่ ฝ่ายอำนวยการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ด้วย หากพบว่ามีความผิดก็จะให้ทางต้นสังกัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป
ส่วนรถแคมรี่ สีเงินขาวทะเบียน ฌข 5323 กรุงเทพมหานคร ที่ปรากฏว่าสวมทะเบียน ทางทีมสืบสวนจะประสานข้อมูลกับสน.ปทุมวันเพื่อนำข้อเท็จจิงมาตรวจสอบว่าการกระทำของนายตำรวจคนดังกล่าวและพวกอีก 2 คนเข้าข่ายกระทำความผิดทางอาญา หรือวินัยหรือไม่ ทั้งนี้ตนเองในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าวนั้นได้เตรียมเรียกประชุมทีมงานในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ย.) เวลา 11.30 น. ที่ห้องประชุมกองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ต่อไป
นอกจากนี้ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ กล่าวถึงกรณีที่จะมีการอ่านคำพิพากษาในคดีจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกครั้งในวันที่ 27 ก.ย.นี้ ว่า ขณะนี้ข่าวกรองจากทุกหน่วยงานได้ประเมินว่าจะมีมวลชนเดินทางมาฟังคำพิพากษาประมาณ 300-400 คน และได้ให้ทางศาลฎีกาฯ ทราบแล้ว ซึ่งศาลได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แนวทางปฏิบัติเดิม เหมือนวันนัดไต่สวน
โดยนำแผงเหล็กมากั้นบริเวณหน้าประตูศาลฎีกาฯในระยะ 20-30 เมตร ส่วนใครที่จะเข้าฟังคำพิพากษาก็สามารถเข้าฟังได้ที่ห้องพิจารณาคดีไม่เกิน 100 คน นอกนั้นจะต้องอยู่นอกเขตของศาลฎีกาฯ ส่วนกำลังพลจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.2 จำนวน 200 นาย คอยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ซึ่งก่อนวันที่ 27 กันยายน จะมีการตรวจความเรียบร้อยในพื้นที่ เพื่อป้องกันมือที่ 3 ขณะที่การข่าวการปลุกระดมมวลชนยังไม่มีแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เซ็นต์ลงนามคำสั่งบช.น.ที่ 302/2560 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ตามคำสั่งคำสั่งบก.น.5 ที่ 269/2560 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ด้วยกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผบก.น.5 มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการนำรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นแคมรี่ สีเทา ติดแผ่นป้ายทะเบียน ฌข 5323 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบหมายเลขทะเบียนรถดังกล่าวในสารบบของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจยึดได้ที่บริเวณใต้อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2560 เวลาประมาณ 23.30 น. ตามคดีอาญาของสน.ปทุมวันที่ 997/2560 ลงวันที่ 22 ก.ย. 2560 ที่ผ่านมา
บช.น.พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวได้ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชน และประชาชนให้ความสนใจ ดังนั้น เห็นให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ ถูกต้อง ครบถ้วนตามระเบียบที่กฎหมายกำหนด อาศัยอำนาจตามความในพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ม.84 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเพื่อสืบสวนในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้ 1.พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองผบช.น. เป็นประธานกรรมการ พ.ต.อ.มานพ น่วมลิวงศ์ รองผบก.น.4 เป็นกรรมการ 3.พ.ต.อ.รวิโรจน์ เปล่งศรียศภัทร รรท.ผกก.กลุ่มงานสอบสวน) บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.ภูริส จินตรานันท์ รองผกก.สส.บก.น.5 พ.ต.ต.อรุณ เลิศศักดิ์เกษตร สว.(สอบสวน) สน.วัดพระยาไกร เป็นกรรมการและเลขานุการ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดำเนินการสืบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ.2556 ให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอสำนวนการสืบสวนข้อเท็จจริงมาเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ถ้าคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงเห็นว่ากรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนพาดพิงไปถึงข้ารายการตำรวจผู้อื่นและคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงพิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่าข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนกระทำการในเรื่องที่สืบสวนนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว