MGR Online - “สร้อยเพ็ชร” ตัวจริงพบตำรวจ แสดงความบริสุทธิ์ใจ แจงบัตรประชาชนหาย ก่อนถูกเจ้าสาวสิบแปดมงกุฎนำไปใช้แอบอ้างชื่อเปิดบัญชีรับโอนเงินค่าสินสอดที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อ ตำรวจรู้แหล่งกบดานเจ้าสาวกำมะลอแล้ว
วันนี้ (7 ก .ย.) ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. กล่าวถึงกรณีผู้เสียหายเป็นชาย 12 ราย เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดเลย หลังจากหลอกแต่งงานแล้วเชิดเงินสินสอดหนีว่า ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.2 และ กก.5 บก.ป.ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุ สอบปากคำผู้เสียหายและเร่งสอบสวนข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แต่เนื่องจากผู้เสียหายได้แจ้งความต่อตำรวจท้องที่ไว้แล้ว หลังจากนี้ก็จะมีการประสานข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนท้องที่ ส่วนกรณีที่น่าจะยังมีผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยเร่งรัดสั่งการไปยังพนักงานสอบสวน กก.2 และ กก.5 บก.ป.แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการติดตามจับกุมตัว น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทราบแหล่งกบดานของ น.ส.จริยาภรณ์แล้ว เชื่อว่าน่าจะสามารถติดตามจับกุมตัว น.ส.จริยาภรณ์ได้ภายในเร็ววันนี้
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบปากคำญาติพี่น้องของ น.ส.จริยาภรณ์ ยังพบว่าในอดีตนั้น น.ส.จริยาภรณ์เคยอยู่กินฉันสามีภรรยากับชายไทยรายหนึ่งกันแบบจริงจัง แต่ไม่ได้มีการแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ และมีลูกด้วยกัน 2 คน ก่อนจะเลิกรากันไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ กระทั่งมาก่อเหตุหลอกลวงแต่งงานกับผู้เสียหายอีกหลายรายดังกล่าว ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวมถึงเมื่อช่วงกลางดึกของคืนที่ผ่านมา (6 ก.ย.) น.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ อายุ 27 ปี ผู้ที่ถูก น.ส.จริยาภรณ์แอบอ้างและเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ น.ส.จริยาภรณ์ให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าสินสอดเข้าไปให้นั้นได้โทรศัพท์ติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เพื่อขอชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดย น.ส.สร้อยเพ็ชรอ้างว่า เมื่อปี 2558 ตนได้ทำบัตรประชาชนหายและน่าจะถูกนำไปแอบอ้างเปิดบัญชีธนาคาร อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำของ น.ส.จริยาภรณ์แต่อย่างใด
ด้าน พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา ผกก.2.บก.ป.เปิดเผยว่า วันนี้ น.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ อายุ 27 ปี ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีและชื่อในเฟซบุ๊ก ที่ น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ ใช้หลอกเหยื่อผู้เสียหาย ได้เดินทางมาเมื่อ 16.00 น.ด้วยรถแท็กซี่เพื่อเข้ามาพบพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป.แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงครั้งนี้ โดยพนักงานสอบสวนจะสอบปากคำไว้ จากนั้นจะส่งให้กับสถานีตำรวจต่างๆ ที่ผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ว่าถูก น.ส.จริยาภรณ์หลอกด้วยการใช้ชื่อในเฟซบุ๊กและบัญชีการโอนเงิน ส่วนจะเจ้งข้อหาร่วมกันกับ น.ส.สร้อยเพ็ชรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวนท้องที่นั้นๆ หรือว่าท้องที่อาจพิจารณากันไว้เป็นพยานก็ได้
