xs
xsm
sm
md
lg

อุทธรณ์ยืนยกฟ้อง “กิตติศักดิ์” ชายชุดดำซุกระเบิดคาร์บอมบ์ช่วงม็อบเสื้อแดงปี 53

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง “กิตติศักดิ์” ชายชุดดำ คดีซุกระเบิดซีโฟร์ ทีเอ็นที ปืนอาก้า พร้อมลูกกระสุนเอ็ม 79 ในรถฮอนด้าซีวิค จอดที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนรามอินทรา ช่วงชุมนุมคนเสื้อแดงปี 53 ศาลชี้พยานหลักฐานที่นำสืบไม่มีน้ำหนักพอ

วันนี้ (6 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1940/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี หนึ่งในกลุ่มชายชุดดำ เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิด อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันสมควร

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2553 จำเลยได้ร่วมกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิด วงจรระเบิด อาวุธปืนสงครามซุกซ่อนในรถยนต์ฮอนด้าซีวิค ซึ่งมีผู้แจ้งหายจอดทิ้งไว้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) หลังได้รับทราบแจ้งเหตุจากผู้หวังดี จึงเข้าตรวจค้นรถยนต์ของกลาง พบของกลางระเบิดซีโฟร์ ทีเอ็นที ดินระเบิด ระเบิดขวด ถังดับเพลิงบรรจุปุ๋ยยูเรีย และอาวุธปืนอาก้า ลูกกระสุนเอ็ม 79 รวมจำนวน 20 รายการ ที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนรามอินทรา

คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ โดยศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2559 เนื่องจากพยานบุคคลซึ่งเป็นผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์ที่เคยให้การในชั้นสอบสวนนั้น เบิกความขัดแย้งกับที่มาเบิกความในศาล และเป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงไม่น่าเชื่อถือ ประกอบกับผลการตรวจดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝงของจำเลยเทียบกับวัตถุพยานของกลางไม่ตรงกัน เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ลงโทษจำเลยได้

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำ เนื่องจากจำเลยถูกคุมขังในคดีอื่น

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า จากคำเบิกความของ น.ส.ปฏิภัค เอกอภิวัชร์ แม่บ้านและผู้ดูแลอาคารหอพัก รับฟังได้ว่า พยานไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับของกลางที่ตรวจพบในรถยนต์ เพราะเกรงว่านายธนเดช เอกอภิวัชร์ หรือไก่ น้องชาย ซึ่งเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเคยไปร่วมชุมนุมกับจำเลยหลายครั้งจะได้รับความเดือดร้อน จึงเบิกความไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญของคดี นอกจากนี้พยานโจทก์ 2 ปาก ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม ยังเบิกความยืนยันว่า น.ส.ปฏิภัค ซึ่งเคยให้การในชั้นสอบสวนว่าไม่เคยทราบและไม่เห็นว่านายธนเดช น้องชาย และจำเลยมีส่วนรู้เห็นและใช้รถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งมีของกลางจำนวนมากไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. และภายหลังก็ไม่ปรากฏว่าพบตัวนายธนเดช น้องชายพยานอีกเลย ซึ่งต่อมามีผู้แจ้งว่ารถยนต์ของกลางคันดังกล่าวมีจำเลยกับนายธนเดชขับไปร่วมชุมนุม แต่ก็ไม่มีพยานโจทก์ปากใดมายืนยัน

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นพิจารณาของ น.ส.ปฏิภัค พยานโจทก์มีลักษณะปิดบัง ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ไม่มีน้ำหนักเพียงพอและไม่อาจรับฟังที่จะลงโทษจำเลยได้ อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้ว พิพากษายืนยกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นายกิตติศักดิ์ จำเลยในคดีนี้ ตกเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา 5 คน ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายชุดดำที่ก่อเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่แยกคอกวัว ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และถูกจับกุมได้เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2557 โดยเจ้าหน้าที่ทหารและพนักงานสอบสวน ที่ตั้งขึ้นเป็นคณะทำงานพิเศษนำตัวมาแถลงข่าวว่า ชายชุดดำทั้ง 5 คน (มีหญิง 1 คน) ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุในวันที่ 10 เม.ย. 2553 แต่ต่อมาทั้ง 5 ได้ให้ทนายความนำหนังสือยืนยันว่า ถูกบังคับและทำร้ายร่างกายในการสอบปากคำในสถานที่แห่งหนึ่ง พร้อมขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง อย่างไรก็ตาม ต่อมาอัยการได้ฟ้องชายชุดดำทั้ง 5 คนต่อศาลอาญา ข้อหาร่วมกันมีและครอบครองอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกมบอนุญาตได้ และข้อหาพาอาวุธไปในเมือง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4022/2557 ซึ่งคดีชายชุดดำดังกล่าวศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2560 ให้จำคุกนายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และนายปรีชา อยู่เย็น จำเลยที่ 2 คนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 ยกฟ้อง





กำลังโหลดความคิดเห็น