MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องคดีอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง “อภิสิทธิ์-สุเทพ” สั่งสลายการชุมนุม นปช.ปี 53 ตามสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ ชี้เป็นอำนาจ ป.ป.ช.ในการสอบสวนและยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจรับฟ้อง
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (31 ส.ค.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งศาลฎีกาในการวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดำที่ อ.4552/2556 และที่ อ.1375/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อายุ 53 ปี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อายุ 67 ปี อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำหรือฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 สืบเนื่องจากการออกคำสั่ง ศอฉ.ให้เจ้าหน้าที่เข้าขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณ ถ.ราชดำเนิน และแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ชุมนุมตั้งแต่เดือน เม.ย. - 19 พ.ค. 2553 กระทั่งนายพัน คำกอง ชาว จ.ยโสธร อายุ 43 ปี คนขับแท็กซี่ และ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือน้องอีซา อายุ 14 ปี เสียชีวิตบริเวณใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ สถานีราชปรารภ วันที่ 15 พ.ค. 2553 และนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ถูกกระสุนยิงมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ที่รักษาการณ์ในพื้นที่ย่านราชปรารภ ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในชั้นสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้ต่อสู้ประเด็นการสอบสวนและดำเนินคดีว่า ไม่ได้เป็นอำนาจของดีเอสไอที่จะรวบรวมหลักฐานสรุปสำนวนฟ้องให้อัยการ แต่การสอบสวนเป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งหลังจากอัยการยื่นฟ้องคดีและก่อนที่ศาลอาญาจะพิจารณาคดี ทั้งสองได้ยื่นคำร้องวันที่ 10 มิ.ย. 2557 ขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวด้วย
ต่อมาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อกฎหมายแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2557 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า แม้อัยการโจทก์จะกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองได้ออกคำสั่ง ศอฉ.ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ อาวุธและกระสุนจริง รวมทั้งพลแม่นปืนในการผลักดันผู้ชุมนุม หรือกระชับพื้นที่ หรือสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.ในปี 2553 ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 พ.ค. 2553 โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวนั้นก็เกี่ยวพันกับการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ราชการในฐานะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งผู้อำนวยการ ศอฉ.ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ด้วย ไม่ใช่การกระทำทางอาญาที่กระทำโดยส่วนตัวหรือนอกเหนือหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งราชการด้วยซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ควรพิจารณาไปในวาระเดียว ซึ่ง ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวน และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องยื่นฟ้องคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 66 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (1) และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 ที่ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ และให้ยกคำร้องที่นายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่บาดเจ็บ กับนางหนูชิต คำกอง ภรรยาของนายพัน ที่เสียชีวิตขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย
ต่อมาอัยการโจทก์, นายสมร กับนางหนู ผู้เสียหาย มอบอำนาจให้นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความยื่นอุทธรณ์
โดยเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2559 มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งเห็นว่าเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะส่วนตัวตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองกระทำไปในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การสอบสวนเพื่อเอาโทษแก่จำเลยทั้งสองจึงเป็นอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช.ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19, 66 และรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 250 (2) ประกอบมาตรา 275 การที่โจทก์และโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองโดยอาศัยสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอซึ่งไม่มีอำนาจในการสอบสวน การฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลอาญาจึงไม่ใช่ศาลที่มีเขตอำนาจรับคดีทั้งสองสำนวนไว้พิจารณา อุทธรณ์โจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย ส่วนนายสมร และนางหนูชิต ที่ร้องขอเป็นโจทก์ร่วมนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อศาลอาญาไม่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้นก็ชอบแล้ว
กระทั่งอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมได้ยื่นฎีกาว่าข้อกล่าวหาจำเลยทั้งสองก็ได้นำผลชันสูตรผู้เสียชีวิตมากล่าวหาตามความผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ฐานก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่า ซึ่งคดีนี้ต้องให้ศาลอาญาเป็นผู้วินิจฉัย
ในวันนี้นายอภิสิทธิ์ จำเลยที่ 1, นายสุเทพ จำเลยที่ 2 พร้อมทีมทนายความมาฟังคำสั่งศาลฎีกา ขณะที่อัยการโจทก์ก็มาศาลเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมที่ส่งทนายความมาฟังผลคดี
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 มีบุคคลถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมดังกล่าว ที่จำเลยที่ 1 ได้ให้ ศอฉ.ดำเนินการควบคุมให้มีการกำหนดแนวห้ามผ่าน และให้ใช้อาวุธปืนเท่าที่จำเป็น จำเลยที่ 2 ได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. มีการให้เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงและพลแม่นปืน การออกคำสั่งขอให้สลายการชุมนุมเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตและได้รับอันตราย ซึ่งแสดงว่าตามคำฟ้องโจทก์ได้อ้างการออกคำสั่งดังกล่าวในขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ฟ้องในฐานะส่วนตัว ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในการกล่าวหาผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 250 (2), 275 ที่ให้ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปผลพร้อมทั้งความเห็นการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยังเป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 19 (2), 66 วรรคหนึ่ง, 70 เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง, พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (1), 10, 11, 24 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 11/2557 และ 24/2557 เมื่อจะต้องดำเนินกระบวนการตามกฎหมายที่วินิจฉัยแล้ว การที่ดีเอสไอได้สอบสวนแล้วสรุปสำนวนส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้องต่อศาลอาญานั้น ไม่เป็นไปตามกระบวนการและช่องทางตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ขณะที่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง ถือเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย และมีคำสั่งตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24, 142 และประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามทั้งสองศาลที่ให้ยกฟ้อง เนื่องจากคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลแล้ว คดีจึงถึงที่สุด
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายอภิสิทธิ์ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆ ว่าคดีในศาลนี้ถือว่าจบแล้ว
ส่วนที่กรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.ได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เมื่อเร็วๆ นี้ ให้นำเรื่องการสลายผู้ชุมนุม นปช.ขึ้นมาพิจารณาใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวเพียงว่าเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. ส่วนตนยังไม่ได้รับแจ้งอะไรจาก ป.ป.ช.
ขณะที่นายสุเทพให้สัมภาษณ์หลังฟังคำสั่งศาลฎีกาว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ป.ป.ช.ก็ได้วินิจฉัยไปแล้ว ส่วนศาลก็ได้วินิจฉัยตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา
ส่วนถ้า ป.ป.ช.จะพิจารณาคดีนี้อีกครั้งตามขั้นตอนที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไว้จะดำเนินการอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ตนก็พร้อมที่จะต่อสู้คดี ได้เตรียมหลักฐานไว้ตั้งแต่ตอนบวชเป็นพระแล้ว โดยเขียนเนื้อหารวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดอยู่ในหนังสือที่ได้ยื่นไว้กับ ป.ป.ช. ขณะนั้นตนก็โดน ป.ป.ช.สอบสวนนานมาก และทำเป็นหนังสือไว้จำหน่ายในชื่อ “คำให้การพระสุเทพ ปภากโร” เพื่อเอาทุนมาตั้งมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และเมื่อ ป.ป.ช.วินิจฉัยแล้วเห็นว่าตนทำตามหน้าที่ก็จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความมั่นใจหรือไม่ เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กับพวก ในการสลายการชุมนุมเช่นเดียวกัน นายสุเทพกล่าวว่า เหตุการณ์แตกต่างกัน คือ 1. ตอนที่ตนมีคำสั่งต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเรียกว่าอยู่ในกรอบของกฎหมาย 2. การสั่งการในแต่ละขั้นตอนได้มีคณะกรรมการร่วมพิจารณาว่ามีความจำเป็นเพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความสงบ และได้หลีกเลี่ยงวิธีที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อน อย่างการใช้แก๊สน้ำตา ตนมีคำสั่งไม่ให้ใช้ประเภทยิง ให้ใช้แบบขว้าง เพราะถ้าใช้แบบยิงจะถูกประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตได้ แต่กรณีที่ต้องสั่งให้มีการใช้อาวุธจริงนั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนเสียชีวิตแล้วบนถนนราชดำเนิน จำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธจริงได้ เพื่อระงับยับยั้งฝ่ายที่จะทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายประชาชนและทำร้ายเจ้าหน้าที่
เมื่อถามถึงคดีในส่วนการชุมนุมของ กปปส.อยู่ในกระบวนการขั้นตอนไหนแล้ว นายสุเทพกล่าวว่า ตอนนั้น คสช.ยึดอำนาจ พวกตนก็ถูกนำตัวไปอยู่ค่ายทหาร พอออกมาก็ได้โอกาสเข้าไปมอบตัวเพื่อสู้คดีที่สำนักงานอัยการสูงสุด ต่อมานายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้องแกนนำ กปปส.ทั้งหมด ต่อมาพนักงานอัยการจึงสั่งให้ดีเอสไอทำการสอบสวนเพิ่มเติม ตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวน ยังไม่เสร็จ
เมื่อถามว่า แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีแล้วแต่คดียังไม่เสร็จสิ้น นายสุเทพกล่าวว่า ให้ทำใจเป็นกลาง อย่างเพิ่งพูดว่าหลายปี เพราะคดีแบบนี้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร คดีแต่ละคดีก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม จำเลยทุกคนมีสิทธิที่จะต่อสู้คดี นอกจากนี้คดีอื่นๆ ก็ใช้เวลาต่อสู้นานเหมือนกัน สำหรับแกนนำ กปปส.ส่วนหนึ่งนั้นอัยการก็ได้ยื่นฟ้องไปแล้ว อยู่ระหว่างการสู้คดีในชั้นศาล ตอนนี้ยังสืบพยานโจทก์ไม่หมด เมื่อถึงกำหนดสืบพยานจำเลย ตนก็จะไปเบิกความเป็นพยาน
เมื่อถามว่าอัยการสูงสุดมีหนังสือกำชับให้สอบพยานเพิ่มเติมให้เสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เวลาจะสอบสวนแกนนำ กปปส.เพิ่มเติม พนักงานสอบสวนดีเอสไอก็จะเรียกไปถาม แต่ในส่วนของจำเลยยืนยันยังไม่ได้รับหนังสือ และอัยการคงจะกำชับพนักงานสอบสวนมากกว่า