MGR Online - เลขาธิการ ปปง.แถลงผลงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ยึดทรัพย์ในคดีสำคัญกว่า 40,000 ล้านบาท ทั้งคดีคลองด่าน คดีจำนำข้าว คดีธนาคารกรุงไทย คดีธรรมกาย และคดีเครือข่ายไซซะนะ
วันนี้ (18 ส.ค.) เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เลขาธิการ ปปง. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รองเลขาธิการ ปปง.ฝ่ายปฏิบัติการ, นายเทพสุ บวรโชติดารา ผอ.กองข่าวกรองทางการเงิน, นายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผอ.กองคดี 1 และนายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย ร่วมแถลงผลงานการดำเนินการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินเพื่อวิเคราะห์ธุรกรรมจนนำไปสู่กระบวนการยึดอายัดทรัพย์สินในรอบ 1 ปีเศษ และส่งสำนวนให้อัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินในคดีสำคัญต่างๆ
พล.ต.อ.ชัยยะกล่าวว่า รัฐบาลประกาศให้ปัญหายาเสพติด ปัญหาการค้ามนุษย์ และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานจะต้องบูรณาการเพื่อเร่งทำหน้าที่แก้ไขปัญหาดังกล่าว สำนักงาน ปปง.จึงมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อตอบสนองนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมีคดีสำคัญจำนวนมากแยกเป็น คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐร่วมกับเอกชนกระทำความผิด เช่น 1. คดีคลองด่าน มูลค่าความเสียหาย 32,555 บาท โดย ปปง.ยึดอายัดทรัพย์สิน 6,352 ล้านบาท และกล่าวโทษความผิดอาญาฐานฟอกเงินต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 8 ราย คือ 1. บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด 2. บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด 3. บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด 4. บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด 5. บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด 6. บริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด 7. นายสิโรจน์ วงศ์สิโรจน์กุล 8. บริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันอัยการสูงสุดมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด
พล.ต.อ.ชัยยะกล่าวอีกว่า 2. คดีจำนำข้าวกว่า 100 คดี มูลค่าความเสียหาย 405,000 ล้านบาท โดย ปปง.ทำการยึดอายัดทรัพย์สินได้ส่วนหนึ่งที่มาจาก 4 สัญญา (เป็นสัญญาจีทูจี) ซึ่งเป็นเพียงคดีเดียวใน 100 กว่าคดี มูลค่า 12,909 ล้านบาท และกล่าวโทษความผิดอาญาฐานฟอกเงินต่อดีเอสไอ มีผู้ถูกกล่าวหา 4 ราย คือ 1. นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง 2. นายสุธี เชื่อมไธสง 3. นายนิมล หรือณพชร รักดี 4. นายสมคิด เอื้อนสุภา ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ
3. คดีธนาคารกรุงไทย ความเสียหาย 10,000 ล้านบาท สำนักงาน ปปง.ได้รยึดและอายัดทรัพย์สินได้ 64 ล้านบาท และ 4. คดีทุจริตการจัดซื้อสารเคมีผลิตภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชกรณีภัยพิบัติฉุกเฉิน ความเสียหาย 657 ล้านบาท ซึ่ง ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ 461 ล้านบาท
คดีที่เอกชนกระทำความผิด เช่น 1. คดีค้ามนุษย์ (สถานบริการนาตารี) ทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้ 724 ล้านบาท 2. คดีบริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัดและบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต หรือคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ยึดอายัดทรัพย์สิน 9,542 ล้านบาท และกล่าวโทษความผิดอาญาฐานฟอกเงินต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 13 ราย คือ 1. นายสมเกียรติ คงเจริญ 2. นางธวัล แจ่มโชคชัย 3. นางนิสา โรจน์รุ่งรังสี 4. นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี 5. บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต 6. บริษัท รอยัล เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 7. บริษัท รอยัล ไทย เฮิร์บ จำกัด 8. บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟท์ จำกัด 9. บริษัท รอยัล พาราไดซ์ จำกัด 10. นายธงชัย โรจน์รุ่งรังสี 11. บริษัท บ้านขนมทองทิพย์ จำกัด 12. น.ส.สายทิพย์ โรจน์รุ่งรังสี 13. นายวินิจ จันทรมณี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอาญา
3. คดีธรรมกาย ความเสียหาย 20,000 ล้านบาท ยึดและอายัดทรัพย์สิน 2,344 ล้านบาท เช่น กรณีสั่งจ่ายเช็ค 27 ฉบับให้พระธัมมชโย (โครงการเวิลด์พีซ) มูลค่า 1,585 ล้านบาท กรณีที่ดิน น.ส.อลิสา อัศวโภคิน จำนวน 8 แปลง มูลค่า 289 ล้านบาท กรณีการซื้อขายที่ดินระหว่างบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด กับนายอนันต์ อัศวโภคิน และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ มูลค่า 470 ล้านบาท เป็นต้น
4. คดีผู้ลำเลียงยาเสพติดไปยังภาคใต้โดยใช้รถไฟ สำนักงาน ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์สินได้ มูลค่า 196 ล้านบาท
5. คดีเครือข่ายไซซะนะ สำนักงาน ปปง.บูรณาการเข้าร่วมตรวจค้นกับสำนักงาน ป.ป.ส., บช.ปส., ดีเอสไอ ทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 500 ล้านบาท 6. คดีนายเล่าต๋า แสนลี่ สำนักงาน ปปง.บูรณาการร่วมกันกับ บช.ปส. และตำรวจภูธรภาค 5 ทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้ 24 ล้านบาท
7.คดี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ มูลค่าความเสียหาย 263 ล้านบาท สำนักงาน ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 29 ล้านบาท 8. คดีการพนันออนไลน์ สำนักงาน ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 115 ล้านบาท และ 9. คดีระหว่างประเทศ เช่น คดีนายจาง ชิง ตวน สำนักงาน ปปง.ประสานงานกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าประมาณ 1,000 ล้าน สำนักงาน ปปง.ทำการยึดและอายัดทรัพย์สินได้มูลค่า 346 ล้านบาท
รวมมูลค่าความเสียหายในคดีสำคัญต่างๆ รวมทั้งสิ้น 469,034 ล้านบาท โดยทรัพย์สินที่สำนักงาน ปปง.ยึดและอายัดทรัพย์และส่งสำนวนให้อัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน ในช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา รวมมูลค่าทั้งสิ้น 40,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งยังมีคดีอีกเป็นจำนวนมาก ที่สำนักงาน ปปง.จะต้องนำกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินไปดำเนินการเพื่อนำทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความความผิดกลับคืนสู่แผ่นดินต่อไป
ส่วนผลงานที่สำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คือ จากการที่ประเทศไทยได้เข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือที่เรียกคำย่อว่า AML/CFT (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of Terrorism) ซึ่งเป็นการประเมินความสอดคล้องการดำเนินงานของประเทศไทยใน “ด้านกรอบกฎหมายและด้านประสิทธิผล” เทียบกับ “มาตรฐานสากลของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน” ซึ่งมุ่งหวังให้ทุกประเทศมีมาตรฐานการปฏิบัติที่มีประสิทธิผลในระดับเดียวกัน เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้อาชญากรแสวงหาประโยชน์จากประเทศที่มีความหย่อนยานของกฎระเบียบและมาตรการ AML/CFT
โดยคณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมชี้แจงต่อที่ประชุมใหญ่ APG (Asia-Pacific Group on Money Laundering - APG) ณ กรุงโคลอมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ผลจากการประชุมสรุปได้ว่า ประเทศไทยมีการดำเนินการที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลใน “ด้านกรอบกฎหมาย” ในระดับมากและมากที่สุดจำนวน 26 ข้อ จาก 40 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 56.18 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการประเมินครั้งก่อนเมื่อปี 2550 ที่ได้เพียงร้อยละ 31 เป็นผลจากการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนในการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการประเมิน “ด้านประสิทธิผล” ของการดำเนินมาตรการ AML/CFT พบว่า ประเทศไทยมีพัฒนาการในการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมากจากที่ประชุม APG โดยเฉพาะใน 4 ด้านจาก 11 ด้านที่ไทยได้รับการประเมินว่ามีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับสูง (substantial level)
สิ่งที่น่าภาคภูมิใจในการเข้ารับการประเมินครั้งนี้ แม้ว่าการประเมิน “ด้านประสิทธิผล” ของการดำเนินมาตรการ AML/CFT เพิ่งมีการประเมินเป็นครั้งแรกภายหลังการปรับปรุงมาตรฐานสากลในปี 2555 แต่สำหรับผลการประเมิน “ด้านประสิทธิผล” ในระดับสูงที่ประเทศไทยได้รับจำนวน 4 ด้านนั้น ถือว่าทัดเทียมประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และเบลเยี่ยม และมีผลการดำเนินงานในระดับสูงมากกว่าออสเตรียที่ได้รับผลการประเมิน “ด้านประสิทธิผล” ในระดับสูงเพียง 3 ด้านเท่านั้น
เลขาธิการ ปปง.กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือสำนักงาน ปปง. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 2542 สำนักงาน ปปง.จึงได้กำหนดให้วันที่ 19 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาของสำนักงาน ปปง. แต่เนื่องจากในปีนี้ตรงกับวันหยุดราชการ จึงได้กำหนดจัดงานในวันนี้
ในการนี้ สำนักงาน ปปง.ได้มอบเงินของผู้ร่วมงานที่ร่วมบริจาคให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมสุขภาพของพระภิกษุ สามเณร และประชาชน โดยเน้นการรักษาผู้ป่วยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 679,879 บาทอีกด้วย