รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ผู้จัดการ 360 วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2560 ตอน ผ่าตัดองค์กรตำรวจ อย่าให้จบเป็นปาหี่!
การปฏิรูปตำรวจกำลังจะคิกออฟเดินหน้า โดยคณะกรรมการมีฤกษ์เริ่มทำงานในวันที่12 เดือนนี้ หลังจากที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้เรียกมาเป่ากระหม่อม ให้กรอบแนวทางการทำงานไปแล้ว อีก9 เดือนหลังจากนี้ โครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติใหม่จะต้องแล้วเสร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เป็นแม่บทกฎหมายฉบับใหม่ ใช้ในการกำกับดูแลตำรวจต่อไป
เรื่องผ่าตัดงานตำรวจเป็นความคาดหวังที่สูงสุดของคนไทยในยุคนี้ เพราะตำรวจมีปัญหากับประชาชนมากตำรวจสมัยนี้แทนที่จะบำบัดทุกข์บำรุงสุข แต่กลับเป็นว่าตำรวจเป็นคนเอาความทุกข์มาซ้ำเติมให้ประชาชนได้ทุกเวลาและทุกๆเรื่อง
ดังนั้นทางแก้ก็ต้องทลายอาณาจักรแห่งความชั่วร้ายลงไปและสร้างใหม่ ส่วนโครงสร้างสีกากีปฏิรูปใหม่จะเป็นอย่างไร จะถูกใจประชาชนคนไทยหรือไม่ ก็ต้องลุ้นกันอย่างหนัก เพราะเท่าที่เห็นรายชื่อกรรมการทั้งหมดที่ประกาศออกมานั้น ผู้คนทั้งประเทศพอรู้ใครเป็นใครก็ไม่อยากฝากความหวังไว้แล้ว เรียกว่ากรรมการชุดนี้มีต้นทุนติดลบ
เพราะกรรมการทั้งคณะมีจำนวน36 คน เป็นตำรวจเก่าและตำรวจปัจจุบันอยู่ถึง15 คนไปแล้ว ตำรวจเข้ามาเกือบจะครึ่งของคณะ ส่วนที่เหลือเป็นทหารและคนจากสาขาอาชีพอื่น ตำรวจจึงเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวลาคณะกรรมการทำงาน ใครจะมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ก็คือกลุ่มกรรมการตำรวจนั่นเอง ส่วนที่ตำรวจจะยอมปฏิรูปตำรวจให้เป็นไปตามเสียงเรียกร้องจากประชาชน ตอนนี้ ไม่มีใครอยากเชื่อ
ดังนั้น การที่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ตั้งกรรมการปฏิรูปตำรวจจึงเหมือนไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาตำรวจ ไม่อยากปรับรื้อโครงสร้างตำรวจที่มันมีปัญหา สร้างความเดือดร้อนความคับแค้นใจแก่ประชาชนคนไทยมากในขณะนี้ แต่ที่รัฐบาลต้องทำก็เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ต่างหาก ขืนไม่ตั้งขึ้นมาไม่ทำก็จะผิดกฎหมายและอยู่ต่อไปไม่ได้
ความจริงกรรมการในภาคส่วนตำรวจก็มีคนดีคนเก่งอยู่บ้าง แม้ส่วนใหญ่คุณสมบัติไม่น่าจะเป็นได้ก็ตาม เช่นเดียวกับกรรมการจากภาคส่วนอื่นที่แย่ก็มี อย่างนักวิชาการบางคน เรื่องตำรวจไม่เคยมีผลงานทางวิชาการแต่ดันได้เป็นกรรมการปฏิรูปตำรวจ คงเพราะเก่งในการวิ่งเต้น ประชาชนเห็นแล้วก็ยิ่งวังเวงกับคณะปฏิรูปตำรวจชุดนี้
ส่วนประธานกรรมการ ซึ่งได้พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) มานั่งหัวโต๊ะ ว่ากันตามศักดิ์ศรีก็พอจะพึ่งพาความรู้ความสามารถทำงานสำคัญงานนี้ได้ แต่กลับมาติดใจกันตรงที่เป็นเพื่อนรักเตรียมทหาร รุ่น 6 (ตท.6) ของ "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯกำกับดูแลตำรวจ กลายเป็นว่าสเปคประธานกรรมการที่ต้องควานหาตัวกันมานานวัน ที่แท้สเปคระดับเทพที่ต้องการ คือต้องเป็นเพื่อน "บิ๊กป้อม"นั่นเอง
จะเป็นซี้ใครไม่เป็นไร ขอให้ทำเพื่อบ้านเมืองและสนองความต้องการของคนไทยได้ก็แล้วกัน
วันนี้ประชาชนอยากให้รื้อตำรวจออกมาเป็นอย่างไร อยากให้แก้ไขปัญหาประเด็นอะไร ก็มีผลสำรวจสะท้อนออกมาล่าสุดกับ สวนดุสิตโพล สรุปมีอยู่3เรื่องหลัก คือ1/ปัญหาตำรวจทุจริตในหน้าที่ รีดไถ รับส่วย สารพัด2/ปัญหาการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ชอบใช้อำนาจบิดเบือนกฎหมายเพื่อแลกผลประโยชน์
และ3/ปัญหาการซื้อขายเก้าอี้ที่ยุคหลังๆนี้ทุ่มซื้อกันหนัก กลายเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ถ้าไม่รีบแก้ไขปัญหานี้จะทำให้สังคมไทยเดือดร้อนจากตำรวจมากขึ้นๆ ตำรวจก็จะเสื่อมทรามลง จนไร้ศักดิ์ศรีคนไม่ศรัทธาเหมือนตอนนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกันมีข่าวว่า แนวทางปฏิรูปตำรวจตามนโยบาย คสช,มีเรื่องสำคัญๆคือ แยกงานสอบสวนออกงานปราบปรามให้ขึ้นตรง กระทรวงยุติธรรม เรื่องนี้ถ้าเป็นจริงได้ก็จะเป็นคุณูปการต่อสังคมมมาก เพราะตำรวจวันนี้มีอำนาจทั้งสืบสวนจับกุม แล้วยังมีอำนาจสอบสวนอยู่ในมือด้วย ถ้าเจอตำรวจเลวก็จะบิดเบือนการอำนวยความเป็นธรรมไปอย่างไรก็ได้
จะยัดความผิดให้ใครข้อหาอะไรก็สะดวก จะปล่อยคนผิดก็สามารถทำได้แค่จรดปากกาเท่านั้น
ซึ่งการทุจริตในแวดวงคนสีกากี ถือว่าการบิดเบือนความยุติธรรมมีราคาสูงที่สุด เป็นตัวเลขที่มีการทุจริตสูงที่สุดเช่นกัน ถ้าหากทำได้จริงแยกการสอบสวนออกไป ให้ตำรวจมีหน้าที่สืบสวนจับกุมก็จะเป็นการถ่วงดุลการทำงานของตำรวจได้ การเกิดคดีจับแพะยัดคุกก็จะลดน้อยลง
เรื่องต่อมา เป็นเรื่อง แยกงานที่ไม่ใช่งานตำรวจจริงๆออกไป คือตำรวจรถไฟ ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจทางหลวง ตำรวจน้ำ เอาไปให้พ้นจากอำนาจหน้าที่ตำรวจ โยกย้ายไปสังกัดแต่ละ กระทรวงตาม พรบ.กระทรวงนั้นๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมควรทำมานานแล้ว มีคนพยายามที่จะแยกงานเหบ่านี้ออกมา แต่ตำรวจไม่ยอมเพราะหน่วยงานเหล่านี้มีผลประโยชน์มหาศาล คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้ขัดขวางกันดุเดือดในคณะกรรมการแน่
ยังมีข่าวว่า จะแบ่งย่อยตำรวจไปขึ้นตรงต่อ ผอ.กอรมน. และจังหวัดเรื่องนี้ถ้าไปจริงก็เท่ากับให้ตำรวจส่วนหนึ่งขึ้นตรงกับทหารและผู้ว่าราชการจังหวัด และถือว่าเป็นการกระจายอำนาจ ตัดสายงานบังคับบัญชาให้สั้นลง ที่ปัจจุบันรวมศูนย์อยู่ในมือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพียงคนเดียว
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่ายเพราะตำรวจคงค้านหัวชนฝา แต่ถ้าจะให้ดีควรนำร่องใช้กับกรุงเทพมหานครก่อน ให้ตำรวจนครบาลขึ้นตรงกับผู้ว่าฯกทม. ถ้าดีกว่าเดิมก็ค่อยๆขยายออกไป
การผ่าตัดตำรวจคราวนี้ สังคมต้องช่วยกันติดตาม และกดดันกันต่อไป อย่าให้จบลงเป็นปาหี่!