** ก็ต้องยอมรับความจริงว่า ยิ่งเวลานานไป ความชินชา ความเบื่อหน่าย มันก็ย่อมเกิดขึ้นเสมอ จนมีคำเปรียบเปรยกันว่า "เมื่อแรกรักกันทุกอย่างก็หวาน แต่นานวันเข้าน้ำตาลก็พาลขม" ก็ไม่ต่างจากรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตอนแรกเมื่อเข้ามาใหม่ๆ มีแต่เสียงเชียร์กันดังอื้ออึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ 3 ปีกว่าล่วงมาแล้ว บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป จาก"ขาขึ้น" ก็เริ่มกลายเป็น"ขาลง"
แม้ว่ายังเป็นลักษณะขาลงแบบ "ช้าๆ" ทรงๆ ไม่ได้ลงมาแบบรูดปรู๊ดปร๊าด แต่เอาเป็นว่าไม่เหมือนเดิมแล้วกัน และเสี่ยงต่อภาวะพลิกผันอยู่ไม่น้อย หากเกิดความผิดพลาดในเรื่องใหญ่ซ้ำๆ ติดต่อกันสักสองสามเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องอ่อนไหว มันก็ไม่แน่เหมือนกัน และก็อย่าไปคิดว่ามีกองทัพ มีสรรพกำลังสนับสนุน แล้วจะอยู่ได้อย่างมั่นคง พิสูจน์กันมาให้เห็นหลายรอบแล้วว่า มันไม่จริง สิ่งที่จริงแท้ที่สุดก็คือ อยู่ได้ด้วยพลังศรัทธาของมวลมหาชนเท่านั้น
สำหรับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลของเขา รวมไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าอาจพิเศษตรงที่ว่า พลังศรัทธาเฉพาะตัวบุคคลยังมีหลงเหลืออยู่จำนวนไม่น้อย แต่ก็เริ่มลดลง โดยพิสูจน์ได้จากผลสำรวจ หรือโพลหลายสำนักที่ระยะหลังออกมาตรงกัน ล่าสุด "สวนดุสิตโพล"โดยภาพรวมผลงานของรัฐบาลออกมาในแบบ "ดีกับแย่พอๆ กัน" ร้อยละ 46.76 อันดับ 2 ผลงานดีมากกว่าผลงานแย่ ร้อยละ 38.49 และผลงานแย่มากกว่าผลงานดีร้อยละ 14.75 แม้ว่าหากนับรวมเอาผลงานดี ไปรวมกับอันดับผลงานดีกับแย่ที่มาเป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็ต้องถือว่า"ยังผ่านไปได้" แต่ภาวะแบบนี้อาจถือว่าเป็นครั้งแรกสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เลยทีเดียว
** ดังนั้นหากพิจารณาจาก"แนวโน้ม" ก็ต้องบอกว่านี่คือ"สัญญาณเตือน" ที่ชัดเจนที่สุดแล้ว และยิ่งมีการคาดหมายว่าเขาต้องการ "ไปต่อ" นั่นคือ จะนั่งเก้าอี้นายกฯต่อเนื่องไปอีกรอบโดยผ่านทางกติกาใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้ "นายกฯคนนอก" ที่เปิดช่องเอาไว้ในบทเฉพาะกาล 5 ปี มันก็ยิ่งต้องเริ่งสร้างผลงานให้โดนใจจากเวลาที่เหลืออยู่ให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ดี การสร้างผลงานที่จะโดนใจได้นั้น อย่างแรกก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่ชาวบ้านปราถนา หรือต้องการอยากให้เกิดขึ้นก่อน อย่างแรกเร่งด่วนก็ต้องนี่เลย "ปัญหาปากท้อง" เรื่องเศรษฐกิจที่พอสำรวจความเห็นกันทีไร ก็กลายเป็น"จุดอ่อน" ของรัฐบาลทุกที ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลยังแก้ไม่ตกก็คือ เรื่อง"ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ" ซึ่งถ้าตราบใดยังแก้ไม่ได้ ราคาสินค้าเกษตรตัวหลักไม่ดี เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม ไม่ดีเศรษฐกิจฐานรากระดับชาวบ้านที่มีอยู่ค่อนประเทศมันก็เกิดกำลังซื้อยาก การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวม ก็ไปลำบาก
แน่นอนว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ก็เถียงกันไป จากการส่งออก จากปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ หรือปัญหาจากประเทศคู่ค้าทั่วโลกแย่ ทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่มีกำลังซื้อก็ว่ากันไป แต่ทำอย่างไรก็ได้ให้ราคาสินค้าเกษตรตัวหลักดังกล่าวมีราคาให้ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออนาคตภายหน้าอีกด้วย หากคิดที่จะ"ไปต่อ"
ขณะเดียวกันการจะสร้างผลงานที่ดีให้โดนใจชาวบ้านสำคัญที่สุดก็คือต้องมี "มือเท้า" ที่ไปกันได้ ยิ่งงานในภาวะที่ต้องพิสูจน์ผลงานยิ่งต้องใช้ "คนทำงาน" หมดเวลาของเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่เป็นตัวถ่วง
นาทีนี้ยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้ว อย่างที่บอกอีกไม่กี่เดือนก็ต้องถึงวันที่กำหนดการแถลงผลงานของรัฐบาลออกมา หลังจากเลื่อนมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า หลายกระทรวงร้อยละแปดถึงร้อยละเก้าสิบ มีรัฐมนตรีที่มีผลงาน "ไม่มีมาตรฐาน" จนอาจเรียกว่าทั้งรัฐบาลมีแต่ตัวนายกฯเท่านั้น ที่เป็นตัว"ขับเคลื่อน" ในแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่"สากกะเบือยันเรือรบ" ต้องลงมาเล่นเองทั้งหมด สาเหตุเป็นเพราะเพื่อพ้องน้องพี่ ไม่ได้เรื่องต่างหาก และจากท่าทีที่ชัดเจนก่อนหน้านี้ว่าเวลาที่เหลือจะไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ก็ต้องทำใจลากกันไปแบบนี้
อย่างไรก็ดี หากพูดถึงผลงานที่อาจจะ "สร้างชื่อ" ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็ยังมีโอกาส นั่นคือการ"ปฏิรูปตำรวจ" ที่เริ่มมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจำนวน 36 คน นำโดย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน จะเริ่มนับหนึ่งคือ เริ่มประชุมนัดแรกตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ตามตารางเวลาที่เหลืออีก 8 เดือนเศษ ว่าจะทำได้ออกมาตามที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการหรือไม่
แม้ว่าเมื่อเปิดรายชื่อออกมาแล้วเสียงตอบรับออกมาจากภายนอกยังไม่มั่นใจนัก เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะปฏิรูปเพื่อตำรวจหรือเพื่อชาวบ้านกันแน่ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้แหละเป็นความปราถนาที่ "ตกผลึก" แล้วว่าต้องเกิดขึ้น จะเลี่ยงไม่ได้
** เรื่องนี้แหละที่จะใช้เป็นโอกาสในการ "สร้างผลงาน" เรียกเรตติ้งให้พุ่งกระฉูดอีกครั้งได้หรือไม่ อีกไม่นานก็น่าจะเห็นเค้าลางแล้วว่าจะหัว หรือก้อย ทุกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนกำหนดเอง !!
แม้ว่ายังเป็นลักษณะขาลงแบบ "ช้าๆ" ทรงๆ ไม่ได้ลงมาแบบรูดปรู๊ดปร๊าด แต่เอาเป็นว่าไม่เหมือนเดิมแล้วกัน และเสี่ยงต่อภาวะพลิกผันอยู่ไม่น้อย หากเกิดความผิดพลาดในเรื่องใหญ่ซ้ำๆ ติดต่อกันสักสองสามเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องอ่อนไหว มันก็ไม่แน่เหมือนกัน และก็อย่าไปคิดว่ามีกองทัพ มีสรรพกำลังสนับสนุน แล้วจะอยู่ได้อย่างมั่นคง พิสูจน์กันมาให้เห็นหลายรอบแล้วว่า มันไม่จริง สิ่งที่จริงแท้ที่สุดก็คือ อยู่ได้ด้วยพลังศรัทธาของมวลมหาชนเท่านั้น
สำหรับกรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลของเขา รวมไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าอาจพิเศษตรงที่ว่า พลังศรัทธาเฉพาะตัวบุคคลยังมีหลงเหลืออยู่จำนวนไม่น้อย แต่ก็เริ่มลดลง โดยพิสูจน์ได้จากผลสำรวจ หรือโพลหลายสำนักที่ระยะหลังออกมาตรงกัน ล่าสุด "สวนดุสิตโพล"โดยภาพรวมผลงานของรัฐบาลออกมาในแบบ "ดีกับแย่พอๆ กัน" ร้อยละ 46.76 อันดับ 2 ผลงานดีมากกว่าผลงานแย่ ร้อยละ 38.49 และผลงานแย่มากกว่าผลงานดีร้อยละ 14.75 แม้ว่าหากนับรวมเอาผลงานดี ไปรวมกับอันดับผลงานดีกับแย่ที่มาเป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็ต้องถือว่า"ยังผ่านไปได้" แต่ภาวะแบบนี้อาจถือว่าเป็นครั้งแรกสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ เลยทีเดียว
** ดังนั้นหากพิจารณาจาก"แนวโน้ม" ก็ต้องบอกว่านี่คือ"สัญญาณเตือน" ที่ชัดเจนที่สุดแล้ว และยิ่งมีการคาดหมายว่าเขาต้องการ "ไปต่อ" นั่นคือ จะนั่งเก้าอี้นายกฯต่อเนื่องไปอีกรอบโดยผ่านทางกติกาใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ภายใต้ "นายกฯคนนอก" ที่เปิดช่องเอาไว้ในบทเฉพาะกาล 5 ปี มันก็ยิ่งต้องเริ่งสร้างผลงานให้โดนใจจากเวลาที่เหลืออยู่ให้ได้โดยเร็ว
อย่างไรก็ดี การสร้างผลงานที่จะโดนใจได้นั้น อย่างแรกก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่ชาวบ้านปราถนา หรือต้องการอยากให้เกิดขึ้นก่อน อย่างแรกเร่งด่วนก็ต้องนี่เลย "ปัญหาปากท้อง" เรื่องเศรษฐกิจที่พอสำรวจความเห็นกันทีไร ก็กลายเป็น"จุดอ่อน" ของรัฐบาลทุกที ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลยังแก้ไม่ตกก็คือ เรื่อง"ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ" ซึ่งถ้าตราบใดยังแก้ไม่ได้ ราคาสินค้าเกษตรตัวหลักไม่ดี เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม ไม่ดีเศรษฐกิจฐานรากระดับชาวบ้านที่มีอยู่ค่อนประเทศมันก็เกิดกำลังซื้อยาก การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวม ก็ไปลำบาก
แน่นอนว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ก็เถียงกันไป จากการส่งออก จากปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ หรือปัญหาจากประเทศคู่ค้าทั่วโลกแย่ ทำให้ประเทศเหล่านั้นไม่มีกำลังซื้อก็ว่ากันไป แต่ทำอย่างไรก็ได้ให้ราคาสินค้าเกษตรตัวหลักดังกล่าวมีราคาให้ได้ ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออนาคตภายหน้าอีกด้วย หากคิดที่จะ"ไปต่อ"
ขณะเดียวกันการจะสร้างผลงานที่ดีให้โดนใจชาวบ้านสำคัญที่สุดก็คือต้องมี "มือเท้า" ที่ไปกันได้ ยิ่งงานในภาวะที่ต้องพิสูจน์ผลงานยิ่งต้องใช้ "คนทำงาน" หมดเวลาของเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่เป็นตัวถ่วง
นาทีนี้ยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้ว อย่างที่บอกอีกไม่กี่เดือนก็ต้องถึงวันที่กำหนดการแถลงผลงานของรัฐบาลออกมา หลังจากเลื่อนมาก่อนหน้านี้ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า หลายกระทรวงร้อยละแปดถึงร้อยละเก้าสิบ มีรัฐมนตรีที่มีผลงาน "ไม่มีมาตรฐาน" จนอาจเรียกว่าทั้งรัฐบาลมีแต่ตัวนายกฯเท่านั้น ที่เป็นตัว"ขับเคลื่อน" ในแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่"สากกะเบือยันเรือรบ" ต้องลงมาเล่นเองทั้งหมด สาเหตุเป็นเพราะเพื่อพ้องน้องพี่ ไม่ได้เรื่องต่างหาก และจากท่าทีที่ชัดเจนก่อนหน้านี้ว่าเวลาที่เหลือจะไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ก็ต้องทำใจลากกันไปแบบนี้
อย่างไรก็ดี หากพูดถึงผลงานที่อาจจะ "สร้างชื่อ" ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็ยังมีโอกาส นั่นคือการ"ปฏิรูปตำรวจ" ที่เริ่มมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจำนวน 36 คน นำโดย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็นประธาน จะเริ่มนับหนึ่งคือ เริ่มประชุมนัดแรกตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ตามตารางเวลาที่เหลืออีก 8 เดือนเศษ ว่าจะทำได้ออกมาตามที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการหรือไม่
แม้ว่าเมื่อเปิดรายชื่อออกมาแล้วเสียงตอบรับออกมาจากภายนอกยังไม่มั่นใจนัก เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะปฏิรูปเพื่อตำรวจหรือเพื่อชาวบ้านกันแน่ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้แหละเป็นความปราถนาที่ "ตกผลึก" แล้วว่าต้องเกิดขึ้น จะเลี่ยงไม่ได้
** เรื่องนี้แหละที่จะใช้เป็นโอกาสในการ "สร้างผลงาน" เรียกเรตติ้งให้พุ่งกระฉูดอีกครั้งได้หรือไม่ อีกไม่นานก็น่าจะเห็นเค้าลางแล้วว่าจะหัว หรือก้อย ทุกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนกำหนดเอง !!