MGR Online - ผบช.สตม.พร้อมด้วยทูตตำรวจรัสเซีย แถลงผลกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติ บุคคลอันตรายตามหมายจับตำรวจสากล สั่งเข้มตรวจบุคคลต้องสงสัยเข้าออกประเทศ หลังเกิดเหตุระเบิดในหลายพื้นที่
วันนี้ (1 มิ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ สตม. พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผบก.สส.สตม. และพ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รอง ผบก.สส.สตม. พร้อมด้วย Mr.Vladimir Sosnov ทูตตำรวจรัสเซียและเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรข้ามชาติที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย โดยสามารถจับกุมคนต่างชาติผิดกฎหมาย บุคคลตามหมายจับตำรวจสากล และบุคคลในคดีสำคัญที่ทางการต่างประเทศต้องการตัวเป็นอย่างมาก
โดยคดีแรก เจ้าหน้าที่ สตม.ควบคุมตัวนายอังเดร เดอยากอฟสกี (ANDREY DZYATKOVSKIY) อายุ 35 ปี สัญชาติรัสเซีย ตามหมายจับตำรวจสากล (Interpol Red Notice) ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พยายามฆ่า ซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต ครอบครองและพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยผิดกฎหมาย สืบเนื่องจาก สตม.ได้ประสานงานกับทางการรัสเซียเพื่อติดตามตัวมือสังหารชาวรัสเซีย ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ รับจ้างฆ่าบุคคลสำคัญและนักธุรกิจรัสเซียหลายราย โดยยิงถล่มเป้าหมายด้วยอาวุธสงคราม มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งนายอังเดรเป็นผู้ต้องหาที่ทางการรัสเซียต้องการตัวมากที่สุด (The Most Wanted)
โดยหลังก่อเหตุนายอังเดรได้หลบหนีออกนอกประเทศ หน่วยข่าวกรองของทางการรัสเซียได้ข้อมูลว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ขอให้ทางการไทยช่วยติดตามตัวเนื่องจากเป็นบุคคลอันตราย อาจเป็นภัยต่อประชาชนทั่วไป สตม.จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเร่งติดตามล่าตัว จากการสืบสวนพบข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทยจำนวน 7 ครั้ง เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยหลังจากเดินทางเข้ามาได้หลบหนีอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เจ้าหน้าที่จึงเริ่มตามล่าตัว แต่นายอังเดรเริ่มไหวตัวจึงได้หนีไปหลบซ่อนตัวในจังหวัดร้อยเอ็ด ชุดสืบสวนจึงได้ลงพื้นที่จนนำไปสู่การจับกุมนายอังเดรได้ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด
จากการซักถามนายอังเดรยอมรับว่าได้หลบหนีคดีมาจากรัสเซียจริง ทาง สตม.ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 12 อนุ 7 (มีพฤติการณ์เป็นภัยสังคมฯ) และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ สตม.ได้จับกุมนายเอฟกินี โคโรวิน (EVGENY KOROVIN) อายุ 26 ปี สัญชาติรัสเซีย ตามหมายจับตำรวจสากล (Interpol Red Notice) ในข้อหากล่าวหาปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน บุกรุกเคหสถาน ซึ่งการจับกุมในคดีนี้สืบเนื่องจากนายเอฟกินีพร้อมพวกได้บุกเข้าไปอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ก่อนก่อเหตุปิดอพาร์ตเมนต์ปล้นคนที่อาศัยในอาคาร พร้อมทั้งทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธปืน จนกระทั่งได้ทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมากถึง 5.4 ล้านรูเบิล หรือประมาณ 3.25 ล้านบาท หลังก่อเหตุนายเอฟกินีได้หลบหนีออกนอกประเทศและพบข้อมูลว่าได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย สตม.จึงประสานงานกับทางการรัสเซียเพื่อติดตามตัวนายเอฟกินี ขณะเดียวกัน ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่จนกระทั่งชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวนายเอฟกินีได้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ จากข้อมูลเดินทางเข้าออกพบว่าปัจจุบันนายเอฟกินีอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ถึง 1,200 วัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด
คดีที่ 3 ฝ่ายสืบสวน สตม.ได้ร่วมกันทำการควบคุมตัวนายดิมิทรี ชากูราตอฟ (DIMITRII SHKURATOV) อายุ 29 ปี สัญชาติรัสเซีย บุคคลที่ทางการรัสเซียต้องการตัวในความผิดฐานทำร้ายเจ้าพนักงาน (ผู้คุม) และหลบหนีที่คุมขัง คดีนี้ สตม.ได้รับประสานงานจากทางการรัสเซียให้ช่วยติดตามตัวนายดิมิทรีซึ่งหลบหนีเข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย จนกระทั่งชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 11 ทาง สตม.จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 12 อนุ 7 (มีพฤติการณ์เป็นภัยสังคม) และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ส่วนคดีที่ 4 เจ้าหน้าที่ สตม.ได้จับกุมนายอนาโตลี ซาโมดอฟ (ANATOLII SAMODOV) อายุ 56 ปี สัญชาติรัสเซีย บุคคลที่ทางการรัสเซียต้องการตัวในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยพฤติการณ์ในคดีนี้นายอนาโตลี ซาโมดอฟ เป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟีย ร่วมกับสมาชิกในขบวนการตั้งตัวเป็นกลุ่มอิทธิพล ฮั้วประมูลงานของภาครัฐโดยใช้วิธีการข่มขู่คุกคามผู้เข้าร่วมประมูลงานรายอื่นๆ ให้เกิดความหวาดกลัวจนต้องถอนตัวไป เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง ภายหลังตำรวจรัสเซียได้กวาดล้างจับกุมสมาชิกในแก๊งทั้งหมด 6 คน โดยศาลอาญาสูงสุดของประเทศรัสเซียสั่งพิพากษาผู้ร่วมขบวนการทั้ง 6 คน ให้รับโทษจำคุกจำนวนคนละ 10 ปี แต่นายอนาโตลีได้หลบหนีออกนอกประเทศไปยังประเทศอิตาลี และต่อมาได้หนีเข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทย
โดย สตม.ได้รับการประสานจากทางการรัสเซียเพื่อติดตามตัวชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่หาข่าว จนกระทั่งได้ข้อมูลว่านายอนาโตลีได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2555 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว หลังจากเข้ามาได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในพัทยา จนกระทั่งชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวได้ที่พาราไดซ์คอนโดมิเนียม ซ.จอมเทียน 14 อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จากข้อมูลเดินทางเข้าออกพบว่าปัจจุบันนายอนาโตลีอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ถึง 1,424 วัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด
คดีสุดท้าย สตม.ได้จับกุมนายมัวรีซ โฮเคลมันน์ (MAURICE HOCKELMANN) สัญชาติเยอรมัน อายุ 25 ปี บุคคลที่ทางการเยอรมนีต้องการตัว ในความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ร่วมกันปลอมแปลงเงินตรา (เงินสกุลยูโร) โดยพฤติการณ์นายมัวรีซเป็นหัวหน้าแก๊งปลอมเงินสกุลยูโร ได้ร่วมกับสมาชิกในแก๊งก่อเหตุกว่า 260 ครั้งในหลายพื้นที่ มีผู้เสียหายจำนวนมาก หลังเจ้าหน้าที่บุกทลายแก๊ง นายมัวรีซได้หลบหนีออกนอกประเทศและได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย
โดย สตม.ได้รับการประสานงานจากทางการสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อติดตามตัวนายมัวรีฐกลับไปดำเนินคดี จึงสั่งให้ชุดสืบสวนออกติดตามจนทราบว่านายมัวรีซได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง จนกระทั่งชุดสืบสวนสามารถควบคุมตัวได้ที่ริมถนนปากซอยประชาอุทิศ 129 แขวงและเขตทุ่งครุ กทม. ทั้งนี้ จากข้อมูลการเดินทางเข้าออกพบว่า นายมัวรีซได้เดินทางมายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2559 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 22 ก.ค. 2559 ปัจจุบันอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ถึง 2,449 วัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด
นอกจากนี้ พล.ต.ท.ณัฐธรกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา สตม.ได้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติที่เข้ามาหลบซ่อนตัวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสั่งการให้ทุกหน่วยเอกซเรย์พื้นที่ในความรับผิดชอบ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้พี่น้องประชาชน ตามนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาล
พล.ต.ท.ณัฐธรกล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยเกี่ยวกับความรุนแรงที่พบเหตุระเบิดในประเทศไทยหลายครั้งว่า ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงได้มีมาตรการดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะสนามบินซึ่งความรับผิดชอบอยู่ในความดูแลของการท่าอากาศยาน แต่ทั้งนี้หน่วยงานความมั่นคง และตม. ได้มีมาตรการดูแลและเฝ้าระวังอยู่แล้ว รวมทั้งด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ ก็ได้มีการกำชับเกี่ยวกับบุคลที่มีหมายจับค้างเก่า ตลอดจนมีการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของบุคคลที่จะเข้ามาก่อเหตุ
ส่วนผู้ก่อเหตุระเบิดในประเทศไทยหลายครั้งจะเป็นคนไทยหรือไม่นั้นไม่ขอตอบคำถาม เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายสืบสวนในการติดตามตัวมาดำเนินคดี ส่วนกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 1 เดินทางไปประเทศกัมพูชา ยังไม่มีการรายงานอะไรเป็นพิเศษ