xs
xsm
sm
md
lg

“พิจิตต” จนมุมซื้อที่ตาบอด กุเงินในบัญชีหวังรอดคดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ประเด็นฮือฮาของคนกรุงเทพฯ ช่วงส่งท้ายปลายปี 59 เรียกได้ว่า เป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ เล็กๆ ก็ว่าได้ กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษให้จำคุก 5 ปี ดร.พิจิตต รัตตกุล หรือ ดร.โจ อดีตผู้ว่าฯ กทม. ขวัญใจชาวบ้าน สังกัด “กลุ่มมดงาน” คดีจัดซื้อที่ดินจอดรถน้ำดับเพลิง และรถเก็บขยะของ กทม. เมื่อปี 2540 ซึ่ง ดร.โจ ตกเป็นจำเลยร่วมกับลูกน้องอีก 7 คน คือ นายญาณเดช ทองสิมา อดีตรองผู้ว่าฯ กทม., นายมหินทร์ ตันบุญเพิ่ม อดีตที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม., นายสมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่าฯ กทม., นายประเสริฐ สมะลาภา อดีตปลัด กทม., นายสมควร รวิรัฐ อดีต ผอ.สำนักการคลัง กทม., นางอรุณพรรณ แก้วมรินทร์ อดีต ผอ.กองระบบการคลัง กทม. และ นายชวน พัฒนวรานนท์ อดีต ผอ.เขตบางซื่อ ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตฯ, ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินฯ และร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 151 และ 157

โดยคดีนี้อัยการระบุรายละเอียดไว้ในคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 4 ธ.ค. 2538 - 16 ก.ย. 2540 จำเลยและพวกร่วมกับ นายสมคาด เลขานุการผู้ว่าฯ กทม. และ นายชวน ผอ.เขตบางซื่อ ดำเนินการเรียกทรัพย์สินจากการดำเนินการจัดซื้อที่ดินของ นายสุพจน์ และ นางสุณี มโนมัยพันธุ์ เพื่อจัดหาสถานที่เพื่อใช้เป็นที่จอดรถขยะ รถน้ำ ของ กทม. หลังมีการประกาศให้ประชาชนเสนอขายที่ดินแก่ กทม. ต่อมานายชวนได้รายงานว่า นายสุพจน์ และ นางสุณี ทั้งสองเสนอขายที่ดิน 17 แปลง รวมเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา พร้อมอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในซอยเรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. ราคาตารางวาละ 60,000 บาท และบริษัท วินโล จำกัด เสนอขายที่ดินเนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ราคาตารางวาละ 65,000 บาท ต่อมา นายชวน ผอ.เขตบางซื่อ มีหนังสือสอบถามราคาประเมินที่ดินของนายสุพจน์ เพียงรายเดียว รวม 15 โฉนด ไปยังสำนักงานที่ดิน กทม. ที่ตีราคาประเมินที่ดินดังกล่าวตารางวาละ 42,000 บาท ขณะที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตีราคาประเมินตารางวาละ 60,000 บาท โดยที่ดินดังกล่าวนั้นเป็นที่ดินตาบอด ไม่ปรากฏว่า ทางเข้า-ออก มีการจดทะเบียนโอนเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่ทางเข้า-ออก ตกเป็นภาระจำยอมโดยการจัดซื้อที่ดินได้เสนอให้จำเลยพิจารณาอนุมัติจัดซื้อที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยวิธีการพิเศษ ตามข้อบัญญัติ กทม. โดยมี นายสมควร รวิรัฐ ผอ.สำนักการคลัง กทม. เป็นประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษอันเป็นการขัดต่อข้อบัญญัติ กทม. เรื่องการพัสดุ พ.ศ. 2538 เนื่องจากไม่ใช่พัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน แต่คณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษเชิญ นายสุพจน์ และ นางสุณี มโนมัยพันธุ์ ต่อรองราคาโดยไม่พิจารณาผู้เสนอขายรายอื่นก่อนมีมติให้จัดซื้อที่ดินดังกล่าว ในราคาตารางวาละ 59,900 บาท รวมเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา ซึ่งรวมราคาหลังต่อรองลงแล้วจำนวน 270 ล้านบาท พวกจำเลยจึงมอบอำนาจให้ นายชวน ผอ.เขตบางซื่อ ทำสัญญาจัดซื้อที่ดินจากนายสุพจน์ ทำให้ กทม. ได้รับความเสียหาย ที่ต้องซื้อที่ดินแพงเกินราคาจริงไปเป็นเงินจำนวน 36,855,070 บาท ซึ่งทุกคนต่างให้การปฏิเสธและสู้คดีเรื่อยมา จนกระทั่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า มีเพียง นายสมคาด จำเลยที่ 4 ฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ ตามมาตรา 149 ให้จำคุก 8 ปี และ นายชวน จำเลยที่ 8 ฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามมาตรา 149 และ 157 ให้ลงโทษบทหนักสุด จำคุกเป็นเวลา 10 ปี ส่วนดร.โจ และพวกจำเลยที่เหลือให้ยกฟ้อง

ในส่วนของ ดร.โจ หรือ นายพิจิตต อดีตผู้ว่าฯ กทม. นั้น ศาลชั้นต้นให้เหตุผลว่า แม้จะมีข้อสงสัย กรณีที่ นายพิจิตต จำเลยที่ 1 ไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน และไม่ได้ยื่นแบบภาษีเงินที่มีเงินเข้า แต่จากพยานหลักฐานที่นำสืบก็ไม่ได้แสดงว่า นายพิจิตต จำเลยที่ 1 ได้รับเงินดังกล่าวจากการซื้อที่ดิน จึงรับฟังได้เพียงว่า นายสมคาด จำเลยที่ 4 และ นายชวน 8 เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินฯ และใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเท่านั้น

ดังนั้น ดร.โจ อดีตผู้ว่าฯ กทม. จึงรอดพ้นข้อกล่าวหาในการสู้คดียกแรก แต่เมื่ออัยการโจทก์และจำเลยดังกล่าวยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กลับเห็นต่างพิพากษาแก้ เป็นให้จำคุก นายพิจิตต จำเลยที่ 1 ด้วยเป็นเวลา 5 ปี และให้แก้โทษ นายสมคาด จำเลยที่ 4 จากจำคุก 8 ปี เหลือโทษจำคุก 5 ปี และแก้โทษจำคุก นายชวน จำเลยที่ 8 จากจำคุก 10 ปี เหลือโทษจำคุก 7 ปี

สำหรับ ดร.โจ นั้น ศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลว่า เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของ นายพิจิตต จำเลยที่ 1 นายสุพจน์ และเงินที่ นายชวน จำเลยที่ 8 ฝากเข้าบัญชีของ นายพิจิตต จำเลยที่ 1 แล้วก็เห็นว่า เป็นเงินส่วนหนึ่งที่นายสุพจน์ได้จากการขายที่ดินให้กับ กทม. แม้โจทก์ไม่ได้หาหลักฐานเชื่อมโยงเงินจำนวนดังกล่าว แต่ก็เป็นหน้าที่ นายพิจิตต จำเลยที่ 1 จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงถึงเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งเบิกความว่า เงินจำนวน 10 ล้านบาท เป็นเงินที่มีอยู่เดิม และได้แจ้งต่อหน่วยงานรัฐ ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง เห็นว่า นำสำเนารายการแสดงบัญชีทรัพย์สินจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำเอง ซึ่งการแสดงรายการสินทรัพย์ว่าเป็นเงินสดนั้น ไม่มีอะไรเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีเงินสดจำนวนดังกล่าวอยู่จริง โดยเงินสดที่แจ้งไว้มีจำนวนถึง 13 ล้านบาท ย่อมจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันที่มาของเงินได้ไม่ยาก แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีหลักฐานมาแสดงจำนวนเงินสด ตามที่จำเลยที่ 1 แจ้งไว้ในรายการทรัพย์สิน จึงไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ได้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งใช้บัญชีธนาคาร ย่อมทราบดีว่า หากเก็บเงินสดไว้จะไม่ปลอดภัยและไม่ได้ดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของจำเลยที่ 1 ทราบว่า มีการเบิกเงินเกินบัญชี และมียอดหนี้ 10 ล้านบาท จึงไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดที่จำเลยที่ 1 ต้องเก็บเงินสดไว้กับตัวเอง พยานหลักฐานจึงไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1, 4 และ 8 ร่วมกันเรียกรับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ส่วนที่จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 อ้างว่า กทม. ไม่ได้รับความเสียหายและโทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นหนักเกินไป ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แม้จำเลย 4 และ 8 จะเรียกรับเงิน แต่อย่างไรก็ตามศาลปกครองก็เคยมีคำวินิจฉัยไว้ว่า พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่ได้ทำให้ กทม. ได้รับความเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 8 ปี และจำคุกจำเลยที่ 8 เป็นเวลา 10 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าหนักเกินไป จึงพิพากษาแก้เป็นจำคุก จำเลยที่ 1 และ 4 คนละ 5 ปี และให้จำคุก จำเลยที่ 8 เป็นเวลา 7 ปี

หลังศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาคดีเสร็จสิ้นไปแล้ว ดร.โจ หรือ นายพิจิตต ได้ประกันตัวชั่วคราวระหว่างฎีกาสู้คดี โดยศาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ทำให้ยังต้องลุ้นด้วยใจระทึก ว่า สุดท้ายแล้วอดีตผู้ว่าฯที่หลายคนยกย่องเชิดชู ว่า “ใจซื่อมือสะอาด” คนหนึ่งจะรอดพ้นมลทินคดีนี้จากคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่ ซึ่ง ดร.โจ ยังใจดีสู้เสือ ให้สัมภาษณ์น้องๆ สื่อมวลชน ว่า ตอนนี้ได้ทำงานอยู่องค์กรระหว่างประเทศ ทุกวันนี้ก็เอาใจช่วย ผู้ว่าฯ กทม. ทุกคน ส่วนเรื่องการสู้คดีนั้น ศาลปกครองก็เคยวินิจฉัยว่าไม่ทำให้ กทม. เสียหาย จึงให้เป็นเรื่องของทนายความ และก็ไม่รู้สึกเครียด เพราะเครียดกว่านี้ก็เคยมาแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น