ตร.ยันคดีคลิปเข้าระงับเหตุฝรั่งเมาที่เกาะสมุย ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ

MGR Online - ทีมโฆษก ตร.ยันคดีคลิปตำรวจป้องกันตัวเหตุ ฝรั่งตาน้ำข้าวเมาไล่ทำร้ายชาวบ้านกลางถนนบนเกาะสมุย ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ แต่เป็นการขัดขวางพนักงานเข้าระงับหตุ จับขึ้นศาลวันนี้

วันนี้ (18 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองโฆษก ตร.) กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปชายชาวสวีเดนไล่ชกต่อยตำรวจที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่าจากการตรวจสอบทราบว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลา 07.24 น.เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ชายชาวสวีเดน อายุ 51 ปี มีอาการเมาสุรา พลเมืองดีจึงนำส่งที่ป้อมตำรวจน้ำ หลังจากนั้นตำรวจมีการวิ่งตามนักท่องเที่ยวรายดังกล่าวที่มีอาการเมาสุรา ก่อนที่นักท่องเที่ยวรายนี้จะเริ่มชกต่อยเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน หลังจากตำรวจอีกนายจึงเข้าช่วยเหลือ แต่มีการแชร์ในโซเชียลมีเดียว่าตำรวจทำเกินกว่าเหตุ มีการชักปืนขึ้นมาทั้งที่ไม่ได้มีการชักปืนแต่อย่างใด ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด โดยวันนี้จะนำตัวส่งศาลดำเนินคดีฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและทำร้ายเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่

ด้าน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษก ตร.กล่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ฝากขอบคุณประชาชนที่มีการแชร์คลิปเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ถือเป็นการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ ข้อมูลตรงนี้มีประโยชน์มากเนื่องจากช่วงนี้อยู่ระหว่างการปฏิรูปองค์กรตำรวจ นอกจากปฏิรูปโครงสร้างขององค์กรแล้ว รูปแบบการปฏิบัติงานรวมทั้งพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของตำรวจก็ต้องมีการปฏิรูปด้วย อย่างไรก็ตาม อยากให้ประชาชนเห็นใจและให้ความเป็นธรรมข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ เพราะในบางครั้งมีการนำข้อมูลเก่า หรือเอาข้อมูลมาไม่หมด และไม่อธิบายเหตุผล รวมทั้งที่มาที่ไป ตรงนี้จะสร้างความสับสนแก่ประชาชน และสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจ จึงอยากขอให้ประชาชนลงข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา และละเอียดรอบคอบ

พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจหากเป็นไปตามกรอบกฎหมายก็มีการชมเชย แต่หากเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก็ถูกดำเนินการทางวินัย อย่างในปี 2558 มีตำรวจถูกไล่ออกจากราชการ จำนวน 196 นาย ซึ่งกระทำความผิดวินัยร้ายแรง มีการเรียกรับผลประโยชน์และเกี่ยวข้องกับคดีอาญา นอกจากนี้มีอีกหลายร้อยนายที่ถูกดำเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แสดงให้เห็นว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้นิ่งนอนใจ