MGR Online - “ทนายสงกานต์” ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พาสามครอบครัวเหยื่อ “หญิงไก่” เข้าพบนายกสภาทนายความร้องขอเรื่องคดี อ้างถูกคุกคาม หนึ่งในผู้เสียหายเผยถูกตำรวจนายหนึ่งบังคับข่มขู่ให้ยอมรับสารภาพอ้างมีหลักฐานกล้องวงจรปิด-เคยเห็นเดินเข้าออกคอนโดฯ คู่กรณีบ่อยครั้ง
วันนี้ (6 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ พา น.ส.ประภาวรรณ ใจกล้า หรือน้องก้อย นายชูเกียรติ ใจกล้า และนางประภาพร ทองเฟื่อง พ่อและแม่ของน้องก้อย น.ส.วณิชยา บุ้นสุนเฮง หรือน้องมีน นางสุกัญญา ศิริม่วง แม่ของน้องมีน น.ส.จันทนา คชคงไทย หรือหนูนา และนายธนาธิป ศรีสิงห์ สองสามีภรรยาชาวแม่ฮ่องสอน ซึ่งทั้งสามครอบครัวเป็นอดีตลูกจ้างของหญิงไก่ ถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ เข้าพบนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ เพื่อให้เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของคดี เนื่องจากหญิงไก่มีพฤติกรรมลักษณะคุกคามผู้เสียหาย และผู้ที่เข้ามาให้ข้อมูลเบาะแส รวมถึงให้ดูแลสื่อมวลชนในการทำหน้าที่เสนอข่าวด้วย เพื่อไม่ให้ถูกคุกคาม
นายสงกานต์เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า หญิงไก่ไม่มีทรัพย์สินตามที่ถูกกล่าวอ้างว่ามีผู้ลักทรัพย์สินไปแต่อย่างใด ขณะเดียวกันยังมีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ขณะผู้หญิงคนหนึ่ง ลักษณะคล้ายหญิงไก่มีพฤติกรรมรุนแรงในห้องพัก แสดงให้เห็นว่าภายในห้องมีกล้องวงจรปิด แต่หญิงไก่ไม่ยอมนำมาแสดงยืนยันว่าถูกลักทรัพย์
นายสงกานต์กล่าวอีกว่า วันนี้จะนำสามครอบครัวผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เกี่ยวกับความผิดฐานค้ามนุษย์ด้วย
ด้านนางสุกัญญาเปิดเผยว่า ตนเองทำงานกับหญิงไก่มาประมาณ 1 เดือน ได้ค่าจ้างวันละ 600 บาท โดยหญิงไก่ห้ามไม่ให้ออกจากบ้านพัก จึงรู้สึกอึดอัดและลาออก แต่หญิงไก่พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประชาชื่น นายหนึ่งได้กระทำการข่มขู่และบังคับให้รับสารภาพว่าลักทรัพย์ โดยอ้างว่ามีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด และหากไม่รับสารภาพจะดำเนินคดีทั้งครอบครัว ตนเองเกิดความกลัวจึงยอมรับสารภาพ ส่วนตำรวจนายดังกล่าวพบว่าเคยมาที่ห้องพักของหญิงไก่หลายครั้งแต่ไม่รู้จักชื่อ พร้อมยืนยันว่าส่วนตัวไม่เคยเห็นทรัพย์สินจำนวนมากในห้องพักของหญิงไก่มาก่อน
ขณะที่นายเดชอุดมกล่าวว่า จะรับพิจารณารายละเอียดของผู้เสียหายในแต่ละคดี และอาจพิจารณาตั้งเป็นคณะกรรมการหากมีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนกรณีเดียวกันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงจะดูเรื่องของประเด็นในรายละเอียดของคดีที่อาจจำเป็นต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอรื้อคดีใหม่ เพราะมีประเด็นข้อเท็จจริงใหม่เกิดขึ้นในคดี และต้องดูว่าคดีนี้มีการกระทำผิดเป็นลักษณะเป็นขบวนการหรือไม่ เพราะมีข้อมูลว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายคนที่ยังไม่สามารถติดตามตัวได้
ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าคดีนี้ในชั้นพนักงานสอบสวนน่าจะมีการทำงานสรุปสำนวนคดีอย่างเร่งรีบ เนื่องจากปัจจุบันคดีในชั้นพนักงานสอบสวนอาจจะมีคดีเป็นจำนวนมาก แต่เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขเพราะจะส่งผลให้เกิดความบกพร่องจนทำให้ผู้บริสุทธิ์อาจต้องรับโทษทั้งที่ไม่ได้ทำความผิด