MGR Online - ปอท.-ทหาร แถลงมีหลักฐานชัดเอาผิดอาญามาตรา 112 “แม่จ่านิว” ระบุบทสนทนามีมากกว่าคำว่า “จ้า” จ่อไล่ฟันไลก์-แชร์ เข้าข่ายสนับสนุนกระทำผิด ยันดำเนินการตามหลักฐานที่มีไม่ใช่กลั่นแกล้ง ขณะกำลังแถลง จนท.ลุยค้นบ้านจ่านิว 2 หลัง ยึดคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ด้านเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองร้องปล่อยตัว ระบุไม่ได้พิมพ์ข้อความหมิ่นสถาบันฯ
วันนี้ (7 พ.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 11.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวน บก.ปอท. นำตัว น.ส.พัฒน์นรี หรือหนึ่งนุช ชาญกิจ ผู้ต้องหาศาลทหารกรุงเทพ ในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาฝากขังภายในห้องควบคุมผู้ต้องหาของ บก.ป. จากนั้นนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมมารดาโดยไม่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด จากนั้นเวลา 12.00 น. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายเสนาธิการผู้บังคับบัญชา คณะทำงานพิเศษฝ่ายกฎหมาย คสช.และทหาร เดินทางมายัง บก.ป.เพื่อดูสถานการณ์
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกรณีที่ทางทนายออกมาให้สัมภาษณ์พร้อมให้ข้อมูลว่าหลักฐานซึ่งเป็นข้อความสนทนาในอินบอกซ์ของเฟซบุ๊กระหว่าง น.ส.พัฒน์นรี และนายบุรินทร์ อินติน นั้นไม่ปรากฏข้อความว่า น.ส.พัฒน์นรีพิมพ์อะไรไป นอกจากคำว่า “จ้า” นั้น แท้จริงแล้วทางตำรวจและทหารได้ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากบทสนทนาของทั้งสองมีมากกว่านั้น และพบว่า น.ส.พัฒน์นรีเป็นผู้เริ่มต้นในการสนทนาด้วย โดยข้อความก่อนหน้านั้นเป็นข้อความที่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพบ้านเมืองและการเมืองในปัจจุบัน และลามไปถึงการพิมพ์ข้อความในลักษณะหมิ่นสถาบันฯ อีกด้วย
ต่อมาเมื่อเวลา 12.40 น. นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง กล่าวว่า ตนมาวันนี้เพื่อให้กำลังใจ น.ส.พัฒน์นรี และนายสิรวิชญ์ พร้อมมอบดอกไม้แสดงความเป็นห่วง ทั้งนี้จากการสอบถามทราบว่านายสิรวิญช์มีแม่ น้องและยายอาศัยอยู่ที่บ้าน เมื่อแม่ถูกจับนายสิรวิชญ์ซึ่งเป็นนักศึกษาอยู่ต้องรับภาระทั้งหมดแทน อย่างไรก็ตาม นายสิรวิชญ์ยังเป็นหนึ่งในพลเมืองที่ถูกลิดรอนสิทธิ ดังนั้นพวกตนขอออกแถลงการณ์เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแม่จ่านิว ทั้งนี้เครือข่ายฯ ติดตามและห่วงใยการละเมิดสิทธิพลเมืองที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ขอแถลงท่าทีดังต่อไปนี้
1. การตั้งข้อหาและออกหมายจับแม่จ่านิว เป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุอันควร ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า แม่จ่านิว มิได้พิมพ์ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทสถาบันแต่อย่างใดเลย เฉพาะคู่สนทนาบนเฟซบุ๊คที่มิได้มีความคุ้นเคยกับแม่จ่านิวที่เป็นผู้พิมพ์ถ้อยคำ แม่จ่านิวเพียงแต่ตอบรับด้วยคำว่า “จ้า” เพื่อปิดการสนทนาเท่านั้น ดังนั้นการตั้งข้อหาคดีอาญาที่มีบทลงโทษรุนแรง โดยอ้างว่าการที่มิได้ห้ามปรามถือเป็นความผิดด้วย จึงเป็นการตีความที่ขยายมูลเหตุแห่งความผิดที่เกินเลยโดยที่ประชาชนไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน หากมีการตั้งข้อหามาตรา 112 ด้วยมูลเหตุเพียงเท่านี้จะเปิดช่องให้มีการกลั่นแกล้งกันได้โดยง่าย เหมือนเช่นขณะนี้ที่ประชาชนเกิดข้อกังขาว่า คสช.กำลังกลั่นแกล้งแม่จ่านิวเพื่อผลทางการเมืองในการข่มขู่คุกคามนายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว ที่เป็นแกนนำเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย
2. การใช้ดุลพินิจไม่ให้ประกันตัวอย่างไม่เหมาะสม ผู้บังคับการ ปอท.ปฏิเสธการให้ประกันตัวโดยให้เหตุผลว่า เป็นคดีร้ายแรงมีอัตราโทษสูง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีและยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานโดยมิได้พิจารณาว่า แม่จ่านิวได้แสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าพบพนักงานสอบสวนในทันทีที่ถูกออกหมายจับ (โดยไม่มีหมายเรียก) พร้อมทั้งมีหลักทรัพย์เป็นเงินประกันตัวถึง5แสนบาท ย่อมแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจพร้อมจะสู้คดี การกักขังบุคคลโดยไม่มีเหตุอันควร ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างมิอาจยอมรับได้
3. คสช.ควรตระหนักว่าการดำเนินคดีต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุอันควรจะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน เพราะประเด็น 112 เป็นประเด็นที่อ่อนไหว ทำให้ประชาชนที่เข้าใจผิดก่อกระแสเกลียดชังจ่านิวและแม่จ่านิว ส่วนประชาชนผู้รักความเป็นธรรมก็จะโกรธแค้น คสช.ที่ตั้งข้อหาประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม วิธีการเช่นนี้ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งสิ้น และเป็นการกระทำที่แย้งกับ คสช.ประกาศว่าจะสร้างความสงบขึ้นในสังคมไทย
สุดท้ายนี้ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองขอยืนยันว่า เราเป็นห่วงสิทธิพลเมืองไม่เพียงแต่กรณีแม่จ่านิวเท่านั้น เราขอเรียกร้องให้ คสช.เคารพกฎหมายและหยุดการจับกุมคุมขังประชาชน โดยไม่เคารพต่อกระบวนการยุติธรรม เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศาลทหารจะพิเคราะห์และอนุยาตให้แม่จ่านิวได้รับการประกันตัวในวันที่ 8 พฤษภาคม
นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า กรณีที่ น.ส.พัฒน์นรีถูกจับกุม โดยมีการแสดงหลักฐานว่าเป็นการแชทผ่านเฟซบุ๊คกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้นั้น พบว่าไม่ได้มีการพูดคุยใดๆ มาก่อน น.ส.พัฒน์นรีตอบกลับไปเพียงคำว่า “จ้า” ซึ่งตนมองว่าเป็นมารยาทที่เมื่อถูกอีกฝ่ายพิมพ์ข้อความมา และน.ส.พัฒน์นรีต้องการจบบทสนทนาจึงใช้คำว่า “จ้า” ปิดท้าย และไม่ได้ส่งอะไรไปอีก ตนจึงรู้สึกว่าการตั้งข้อหาร่วมหมิ่นสถาบันฯม.112 นั้นเป็นการตั้งเกินกว่าเหตุ ไม่สมเหตุสมผลและรังแต่จะเกิดความขัดแย้ง
จากกรณีทางตำรวจและทหารมีหลักฐานว่าการสนทนาระหว่าง น.ส.พัฒน์นรี และนายบุรินทร์ อินติน ที่ถูกจับกุมไปแล้วนั้น มีประโยคสนทนาอื่นๆ ก่อนหน้าคำว่า “จ้า” ซึ่งเข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ รวมทั้งในบทสนทนาดังกล่าวยังปรากฏว่า น.ส.พัฒน์นรีเป็นผู้พิมพ์ไปก่อน ด้านนายอนุสรณ์กล่าวว่า หลักฐานตรงนั้นตนยังไม่เห็น เท่าที่เห็นมีเพียงกระดาษแผ่นเดียว และคำเดียวที่ น.ส.พัฒน์นรีพิมพ์ไป คือคำว่า “จ้า” เท่านั้น ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อน อย่างไรก็ตาม พวกตนจะหารือในด้านของกฎหมายและจะติดตามคดีว่าจะออกมาอย่างไร
ต่อเมื่อเวลา 13.10 น. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายเสนาธิการผู้บังคับบัญชาคณะทำงานพิเศษฝ่ายกฎหมาย คสช. พร้อมด้วย พ.ต.อ.โอฬาร สุขเกษม ผกก.3 ปอท. และ พ.ต.ท.สัณห์เพ็ชร หนูทอง รอง ผกก. (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท ร่วมแถลงข่าวคดีดังกล่าว
พ.ต.อ.โอฬารกล่าวว่า การดำเนินการเกี่ยวกับคดีดังกล่าวซึ่งประกอบด้วยกฎหมายหลายข้อ อาทิ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทาง ปอท.จึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินคดีโดยประมวลตามกฎหมายอาญา ประเด็นที่เกิดความสับสนว่ามีการกล่าวหาใส่ร้ายว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปโดยไม่มีหลักฐาน หรือกลั่นแกล้ง ตนขอชี้แจงว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ดำเนินการตามขั้นตอนและมีพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนชัดเจน สำหรับพฤติการณ์แห่งคดีนั้นทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดได้ เนื่องจากเป็นขั้นตอนในการสอบสวนสืบสวนจึงต้องเป็นความลับ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ามีการนำเสนอข้อมูลต่อศาลให้พิจารณาและศาลได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับดำเนินคดีทั้งสองราย ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้อาศัยอำนาจอื่นใดในการดำเนินคดี ทั้งนี้ในวันที่ 8 พฤษภาคม จะนำตัว น.ส.พัฒน์นรีไปฝากขัง อย่างไรก็ตาม ที่ประชาชนมีการบอกว่า น.ส.พัฒน์นรีไม่ได้มีการดำเนินการดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.พัฒน์นรีและนายบุรินทร์มีการดำเนินการร่วมกัน มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายกระทำความผิด ทุกอย่างจะปรากฏในชั้นศาล หากตรวจพบเราจะดำเนินการทันที ขอความร่วมมือหากมีการนำเสนอข้อมูลควรมีหลักฐาน ไม่ควรบิดเบือน หรือนำสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วนำเสนอออกไป ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ปฏิบัติงานได้ ยืนยันว่าตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งไม่เคยมีการกลั่นแกล้งใดๆ หรือข่มขู่ เพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน สำหรับบุคคลที่แชร์และกดไลก์ข้อความที่แสดงให้เห็นถึงสนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าวถึงว่ามีความผิด
พ.ต.อ.โอฬารกล่าวว่า ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการรินรอนสิทธิของสื่อ ไม่มีการเซ็นเซอร์ข่าว ไม่เคยมีการห้ามในการแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายในกฎหมาย ขอความกรุณาสื่อมวลชนหากต้องข้อมูลที่เป็นประโยชน์สามารถติดต่อมาได้ที่ตน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามทางโลกโซเชียลฯ ได้มีการแชร์ภาพที่มีข้อความของแม่จ่านิวเชิงหมิ่นประมาทนั้นจริงหรือไม่ พ.ต.อ.โอฬารกล่าวว่า ตนไม่สามารถบอกรายละเอียดข้อความเนื้อหาได้ แต่การพูดคุยของทั้งสองคนเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา แม่จ่านิวไม่ได้พิมพ์เพียงแค่คำว่า “จ้า” มีการสนทนามากกว่านั้น
จากกรณีการพิมพ์คำว่า จ้า ถึงถือว่าเป็นการสนับสนุน ทำไมถึงตีความว่าเป็นการกระทำความผิด พ.ต.อ.โอฬารกล่าวว่าการดำเนินการทางกฎหมายไม่มีการตีความ จะต้องดูพฤติการณ์ของผู้กระทำและถึงจะมีการพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนั้นที่จะมาบอกว่าพิมพ์คำว่า จ้า อย่างเดียวและผิดกฎหมายนั้น อันนี้ถือว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งผู้ที่นำเสนออาจทำให้โดนดำเนินคดีได้โปรดระมัดระวัง ขอยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยศาล อย่างไรก็ตามจะมีการควบคุมตัว น.ส.พัฒน์นรี ไว้ที่กองบังคับการปราบปรามก่อนจะส่งตัวฝากขังที่ศาลทหารในวันที่ 7 พ.ค. เวลา 09.00 น. ต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กำลังแถลงข่าวได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารไปค้นบ้านจ่านิวที่บ้านหลังแรกเลขที่ 12/109 ม.4 แขวงคลอง 12 เขตหนองจอก กทม. หลังที่ 2 เลขที่ 99/10 ม.8 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และหลังที่ 3 เลขที่ 53/88 ม.4 ถ.พระยาสุเรนท์ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. โดยเจ้าหน้าที่ยกคอมพิวเตอร์ในบ้านย่านถนนพระยาสุเรนท์จำนวน 2 เครื่อง โดยก่อนหน้านี้จ่านิวได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่รอตนก่อน แต่เจ้าหน้าที่กลับเข้าค้นบ้านและยกเครื่องคอมพิวเตอร์ออกไปโดยไม่สนใจคำร้องขอของตน
จากการตรวจสอบเฟซบุ๊ก ชื่อ “Burin Intin” และ “กูซ่า จะทำไม” พบว่ามีการสนทนาผ่านอินบอกซ์เฟซบุ๊กในข้อความอันเข้าข่ายความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กับเฟซบุ๊ก ชื่อ “Nuengnuch Chankij” ซึ่งตรวจสอบเป็นเฟซบุ๊กของ น.ส.พัฒน์นรี หรือหนึ่งนุช ชาญกิจ มารดาของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว แกนนำนักศึกษาประชาธิปไตยใหม่ (NDM) และกลุ่มพลเมืองโต้กลับ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่านายบุรินทร์ และนายสิรวิชญ์ ได้เข้าร่วมกับกลุ่มพลเมืองโต้กลับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2558 จากนั้นนายบุรินทร์จึงมีโอกาสรู้จักกับนายสิรวิชญ์ และติดต่อพูดคุยกันมาตลอดจนรู้จักกับแม่ของนายสิรวิชญ์ จนทำให้ น.ส.พัฒน์นรีและนายบุรินทร์ได้พูดคุยกันจนถูกออกหมายจับ
ต่อมาเวลา 16.15 น.นายสิรวิชญ์ พร้อมด้วยนายรังสิมันต์ โรม หรือโรม และประชาชนกว่า 50ราย ต่างเดินทางเข้าเยี่ยมน.ส.พัฒน์นรี ทั้งนี้ร.ต.อ.วีระศักดิ์ คร้ามสมอ รองสว.กก.4 บก.ป.ปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรรปภ.บก.ป.ได้อนุญาตให้ทยอยเข้าเยี่ยมน.ส.พัฒน์นรีได้ครั้งละ 4-5 คน รอบละ 10 นาที
ต่อมาเวลา 16.30 น.นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด เดินทางมาเยี่ยมน.ส.พัฒน์นรี
เวลา 16.45 น.พระครูปลัดธีรธนัช ณฤทธา ประธานสงฆ์ สัมพุทธชยันตี เดินทางเข้าเยี่ยมน.ส.พัฒน์นรี พร้อมนำพระมเหศวร 2หน้ามามอบให้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และกล่าวว่า ตนได้ทราบข่าวจากสื่อต่างๆถึงเหตุการณ์ดังกล่าว เห็นว่าคดีดังกล่าวมีความไม่ชอบมาพากล จึงตัดสินมาเยี่ยมพร้อมมอบพระให้เพื่อเป็นกำลังใจ
จากนั้นเวลา 17.15 น. นายสิรวิชญ์ เปิดเผยว่าในวันที่ 8 พฤษภาคม ตำรวจจะนำตัวน.ส.พัฒน์นรี ผู้เป็นแม่ไปฝากขังที่ศาลทหาร โดยพวกตนจะยื่นขอประกันตัวในชั้นศาล อย่างไรก็ตามเดิมทีี่ได้นัดหมายว่าจะมีกิจกรรม "มืดนักก็จุดไฟ ส่งกำลังใจไปให้เพื่อนและแม่เพื่อน" ในเวลา 18.30น. วันนี้ิที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ นั้น จะขอเลื่อนมาจัดที่กองบังคับการปราบแทน เนื่องจากหลายคนเดินทางมาให้กำลังใจแม่ตนที่กองบังคับการจำนวนมาก แต่พวกตนก็ขอยืนยันเจตนารมย์เดิมที่จะจุดเทียนเพื่อเป็นกำลังใจให้กับ 9คน ที่ถูกจับกุมและอยู่ในเรือนจำ อย่างไรก็ตามตนจะจัดกิจกรรมที่บริเวณภายในกองบังคับการปราบปราม ทั้งนี้ยังไม่ได้ประสานขอใช้พื้นที่กับตำรวจ แต่เชื่อว่าไม่ได้ก่อความวุ่นวาย เพียงแค่จุดเทียน ตำรวจคงไม่ขัดขวาง
นายสิรวิชญ์ กล่าวอีกว่า ในกรณีที่ถูกตำรวจไปค้นบ้านและยึดคอมพิวเตอร์นั้น ตนไม่กังวลใจเรื่องใด เนื่องจากไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีหรือผู้เชี่ยวชาญขนาดทำอะไรกับคอมพิวเตอร์ได้มาก แต่อยากให้สังเกตเวลาที่เข้าไปตรวจค้น ว่าแม้จะมีหมายค้นแต่ในบ้านมีเพียงน้องกับยายอยู่ ซึ่งตนได้พยายามบอกขอร้องให้รอตนไปถึงก่อน เจ้าหน้าที่กลับไม่ฟัง กลับรีบเข้าค้นและนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปทันที พร้อมบังคับให้ยายตนเซ็นรับทราบ ซึ่งความจริงมีหมายค้นก็กระทำได้ แต่สิ่งที่ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ มีเรื่องเร่งด่วนหรือจึงต้องรีบขนาดนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีตำรวจจากสน.พหลโยธิน ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบเดินทางมาสังเกตการณ์ป้องกันเหตุฉุกเฉิน
ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม หรือโรม หนึ่งในแกนนำขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ได้เข้าไปเจรจากับ พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ ผกก.สน.พหลโยธิน ที่มาสังเกตการณ์ เพื่อขอใช้พื้นที่กองบังคับการปราบปรามในการทำกิจกรรมจุดเทียน โดยระบุขอใช้เวลาประมาณ 30นาที ขณะที่พ.ต.อ.ภาณุเดช ได้ชี้แจ้งว่าอาจจะไม่สมควรเพราะเป็นสถานที่ราชการ มีกฎระเบียบในการเข้า-ออก เพื่อความปลอดภัย จึงแนะนำให้ย้ายไปทำกิจกรรมในพื้นที่ สน.พหลโยธินแทน
อย่างไรก็ตามทางด้านนายรังสิมันต์ ต้องการให้มีการทำกิจกรรมที่ บก.ป.จึงได้ขอเข้าพูดคุยกับ พ.ต.อ.สยาม บุญสม รอง ผบก.ป. แต่ได้รับการปฏิเสธเช่นกัน