โรคใส้เลื่อน 7 รอบพ่นพิษใส่ “จักรทิพย์” หมดสภาพบริหารองค์กรตำรวจ แฉปัญหาสีกากีมาจากอำนาจเลอะเทอะ ขยายวงกลายเป็นศึกชิงความเป็นใหญ่ “พี่หรือน้อง”ใครแน่กว่า ย้อนรอยวีรกรรม “ศานิตย์”เคยล็อกมือระเบิดคากองปราบหักหน้าเสธฯ แดงมาแล้ว แถมมีผลงานคุมถิ่นเลือกตั้งคนเสื้อแดง “สะพัด”เก้าอี้ ผบ.ตร.อาจมีปัญหา หรือวุ่นมากก็ให้เด้งทั้งคู่
“ ตร.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในหน่วยต่างๆ มีความลักลั่นกันหลายหน่วย ตร.จึงมีบันทึกลง 15 เม.ย.59 มอบหมายให้คณะทำงานตามคำสั่ง ตร.ที่ 181/2559 ลง 24 มี.ค.59 ซึ่งมี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. เป็นประธานคณะทำงาน พิจารณามีความเห็นในกรณีดังกล่าวจนเป็นที่ยุติก่อน ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเพื่อให้การบริหารบุคคลในภาพรวมของ ตร.เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และได้สั่งการให้ทุกหน่วยชะลอการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ สว. ถึง รองผบก.ในวาระการแต่งตั้งประจำปี 2558 ไปก่อน จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง”
บันทึกข้อความของ พล.ต.ต.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ รองผบช.กำลังพล ที่ส่งไปยังกองบัญชาการต่างๆ กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงสีกากีกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่พากันผิดหวังจนเกิดภาวะ “สงกรานต์กร่อย”อย่างฉับพลัน เพราะนี่ไม่ใช่การเลื่อนครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 7 นับจากเดือนพ.ย.2558 อันเป็นระเบียบปฏิบัติของการแต่งตั้ง-โยกย้ายประจำปีของนายตำรวจระดับนี้
ผ่านไปเกือบครึ่งปีแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แม้จะเป็นยุคที่มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มี มาตรา 44 อันเปรียบเสมือนกระบองกายสิทธิ์เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งแก้ยิ่งยุ่งจนกลายเป็นวัวพันหลักถึงขนาดง่อยเปลี้ยเสียแขน ถึงขั้นวิกฤติ หมดสภาพบริหารองค์การหลักของบ้านเมืองต่อไป โรคเลื่อน 7 ครั้ง 7 หนมีสาเหตุมาจากอะไร!!??
แน่นอนว่าคนที่แบกรับ คนที่ต้องกลายเป็น “หนังหน้าไฟ”คงหนีไม่พ้น “บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ไปได้ และก็รู้กันอยู่เต็มอกว่าตัว “ปัญหา”ที่แท้จริงมิได้อยู่ที่ ผบ.ตร.แต่อยู่ที่ผู้มีอำนาจเหนือกว่าพร้อมๆ กับบริวารว่านเครือที่เห็นแก่ได้ วิธีคิดนอกกรอบ แหกจารีตที่เคยมีไว้เพื่อความก้าวหน้าของคนแค่หยิบมือเดียวกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ซุกอยู่ใต้เก้าอี้ผู้นำตำรวจ
เริ่มจากการใช้กำปั้นเหล็กทุบระบบโควตา จากเดิมให้น้ำหนักอาวุโส 33 % นักการเมือง (รัฐบาล - ผู้มีอำนาจ) 22% ผบ.ตร. 22 %และ ผู้บัญชาการ 22 %กลายเป็นของผู้มีอำนาจ 100 % แน่นอนว่าเมื่อผู้ให้คุณให้โทษคือผู้มีอำนาจ แม่น้ำ 100 สาย โดยเฉพาะตำรวจน้อยใหญ่ที่ถือคติ “เป็นพระต้องสวด เป็นตำรวจต้องวิ่ง”จะไปไหนไม่ได้นอกจากบ้านหลังหนึ่งแถวๆ ซอยลาดพร้าว
หลังจากที่ทุบระบบโควตาเรียบร้อยผู้มีอำนาจบวกกับสมุน คนใกล้ชิดที่รู้ระบบบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นอย่างดีเสนอให้ทุบแท่งสอบสวนเพื่อแก้ลำการแยกตัวไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมกับ “ปลดล็อก - ปล่อยผี”ให้สามารถวิ่งเต้นย้ายข้ามหน่วยได้ แก้กฎ เปลี่ยนกติกา แม้แต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่เคยกำหนดให้ตำรวจในระดับต่างๆ ที่จะเข้ามาทำงานจะต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่เหมาะสมแต่ปัจจุบันบางระดับ เช่นรอง ผบก.ไม่ต้องมีอีกต่อไปแล้ว แค่ เยส โน โอเค. โคคาโคล่า ก็สามารถมาเป็นใหญ่เป็นโตที่นี่ได้ ข้อสุดท้ายคือมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)ให้เยียวยากรณีป้ายโฆษณาเจ้าปัญหาจนเกิดคำสั่งย้ายนายตำรวจระดับ ผกก.ถึง 59 นาย
มติดังกล่าวแม้จะแก้ปัญหามิให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องตกเป็นจำเลยถูกฟ้องร้องเนื่องจากเป็นคำสั่งย้ายที่มิชอบแต่กลับไปสร้างปัญหาอีกทางหนึ่งเพราะตำรวจระดับ ผกก.ที่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล ผบช.น.ย้ายเข้ามาแทนในจังหวะนั้น กำลังติดอกติดใจแสงสีเสียงของเมืองหลวง นั่งกันจน “รากงอก”ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นง่ายๆ ดังนั้นการจัดการกับปัญหาต่างๆ “ศึกหนัก”จึงมาตกที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และเป็นที่มาของกระแสข่าว “แป๊ะแก่ ชนแป๊ะหนุ่ม”
กลายเป็น “สงครามตัวแทน”ของผู้มีอำนาจ โดยฝ่าย “แป๊ะแก่”พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น.มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นเงาอยู่ข้างหลัง ส่วน “แป๊ะหนุ่ม”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.มีเงาพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ชี้เป็นชี้ตาย “ดันหลัง”ให้ออกศึก จึงมีคำถามต่อไปว่าเมื่อสถานการณ์ลุกลามไปถึงขนาดนี้แล้วทางออกของปัญหาคืออะไร
บ้างก็ว่าอาจจะเกิดปรากฏการณ์ “ฟ้าผ่า”เปลี่ยนผู้บริหารตำรวจ บ้างให้ราคาต่อรอง 5 - 1 รรท.ผบช.น.ไปไม่รอดแน่เพราะถ้ายึดหลักบริหารแล้วตำแหน่ง “รักษาการณ์”หรือนัยหนึ่งเพียงแค่การทดลองงาน การปรับ-เปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมสามารถทำได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว และหาก “แป๊ะแก่”คือ “ของจริง”ทำไมไม่ใช้ซุปเปอร์พาวเวอร์ของนายกรัฐมนตรี จัดการให้เป็น “ตัวจริงนครบาล” อย่างไรก็ตามหากย้อนเวลากลับไปดูผลงานของ “แป๊ะแก่ - แป๊ะหนุ่ม”ในความรู้สึกของผู้มีอำนาจตัวจริงแล้ว พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ไม่ “ขี้เหร่”หรือด้อยไปกว่า “แป๊ะหนุ่ม”แม้แต่น้อย
ผลงานเข้าตาที่สุดก็คือปฏบัติการ “หักเหลี่ยม”พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธฯแดง อดีตนายทหารคนดัง เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นราวต้นปี 2553 ขณะที่บ้านเมืองวุ่นวายมีการก่อจลาจล ปาระเบิด เดินขบวนป่วนไปทั่วกรุงเทพฯ บ่ายวันที่ 16 มี.ค.ปีเดียวกันเสธฯแดง นั่งรถตู้สีขาว กระจกติดฟิล์มทึบ ทะเบียนกงจักร 2481 มาจอดที่ลานหน้ากองบังคับการตำรวจปราบปราม เพื่อมาติดต่อขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการตั้งข้อหานายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือเคทอง พร้อมกับเรื่องการประกันตัว
พ.ต.อ.ศานิตย์ มหถาวร ซึ่งในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นรอง ผบก.ป.ออกมารับหน้าเมื่อชี้แจงจนเข้าใจดีแล้วก่อนเสธฯแดง เดินทางกลับ พ.ต.อ.ศานิตย์ สั่งให้ตำรวจล้อมรถตู้และขออนุญาตตรวจค้นปรากฏว่าพบชายฉกรรจ์นั่งอยู่ในรถ 3 คนรวมทั้งเคทอง ผู้ต้องหาปาระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพฯ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบ จึงล็อกตัวแจ้งข้อหาในทันที ปฏิบัติการครั้งนั้นเป็นข่าวเกรียวกราวและตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้เกี่ยวข้องหลายคนตั้งแต่ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในขณะนั้น หรือกระทั่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีผู้ควบคุมสถานการณ์ ความดีความชอบยังส่งให้ “แป๊ะแก่” ขึ้นชั้นเป็น “ผู้บังคับการ”และถูกส่งไปดูแลพื้นที่อันเปรียบเสมือนเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทยและมวลชนคนเสื้อแดง นั่นก็คือกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 ประกอบด้วย สน.หนองจอก มีนบุรี ร่มเกล้า ฉลองกรุง ลาดกระบัง จระเข้น้อย นิมิตรใหม่ ลำผักชี สุวินทวงศ์ เป็นต้น
ผลงานชิ้นเอกในระหว่างอยู่ในตำแหน่ง ผบก.น.3 คือการสยบอิทธิพลทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ผลการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2553 แทนนายทิวา เงินยวง สส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเสียชีวิตไปปราฏว่านายพนิช วิกิตเศรษฐ์ จากค่าย ปชป.ได้คะแนน 96,480 ชนะนายก่อแก้ว พิกุลทอง จากพรรคเพื่อไทยที่ได้คะแนน 81,776 ส่วน “แป๊ะหนุ่ม”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ในห้วงเวลาเดียวกันขั้นชั้นเป็น พล.ต.ท. ในตำแหน่ง ผบช.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร.ทำหน้าที่ประสานสำนักนายกรัฐมนตรี ผลงานช่วงวิกฤติการเมืองไม่มีอะไรเด่นชัดแต่มีรายชื่ออยู่ในกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล และฝ่ายทหารในขณะนั้น โดยรายชื่อนายตำรวจที่ถือว่าร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็คือ พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง อดีตผู้การโคราช (เสียชีวิต) พล.ต.ท.เรวัติ กลิ่นเกษร ผบช.ปราบปรามยาเสพติด พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผบช.ภ.8 พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น.และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ส่วนใครจะทุ่มเต็มตัว หรือ “แทงกั๊ก”ถือเป็นอุปนิสัยส่วนตัว รวมทั้งยุทธศาสตร์ก้าวไปสู่ความสำเร็จที่พอเข้าใจได้“แป๊ะหนุ่ม”จึงมีชื่อจัดอยู่ในพวกให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายทางการเมืองของเครือญาติหรือเสบียงกรังอาหารทะเลที่ว่ากันว่าส่งกันมาเป็นคันรถ !!??
เวลาผ่านไปจนเข้าโหมตยุคคืนความสุข พล.ต.ท.ศานิตย์ ถูกส่งไปเป็น รรท.ผบช.ภ.2 ก่อนขยับมาเป็น รรท.ภาค 1 และเป็น รรท.ผบช.น. ขณะที่ “แป๊ะหนุ่ม”ไม่มีอะไรมาหยุดได้แล้ว จากผู้ช่วย ผบ.ตร. มาเป็นรอง ผบ.ตร.แค่เพียงปีเดียวก่อนกลุ่มบุคคลในอาณาจักรฟาร์มโชคชัย จะสนับสนุนให้เป็น “ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”คนใหม่ พลันที่ถึงจุดสูงสุด “แป๊ะหนุ่ม”กระจายความก้าวหน้าให้กับเพื่อน นรต.36 อีกทั้งลูกน้องใกล้ชิดอย่างทั่วถึงเว้นแต่เพียงเก้าอี้ใหญ่ “ผู้บัญชาการตำรวจประเทศไทย” หรือ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” เป็นที่ทราบกันดีว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร คือคนของนายกรัฐมนตรี และเป็นที่ทราบกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องการแทรกแซงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพียงแต่ขอนายตำรวจที่ไว้เนื้อเชื่อใจและมีความกล้ามาดูแลพื้นที่นี้
ส่วน ผบ.ตร.ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเต็มตัว ย่างก้าวต่างๆแม้จะมีข่าวเล็ดรอดอยู่เสมอๆว่านับตั้งแต่ได้เป็น ผบ.ตร.ไม่เคยมีโอกาสได้เป็นตัวของตัวเอง....แต่ทุกคำสั่ง ทุกปฏิบัติการก็ล้วนแต่ทำลงมือทำอย่างเต็มอกเต็มใจอย่างสุดความสามารถจนเป็นที่มาของความล้มเหลว กลายเป็นปัญหาลิงแก้แหต้องเลื่อนการแต่งตั้งประจำปีนายตำรวจระดับ สว.-รองผบก. ถึง 7 ครั้ง 7 หน ก่อนลุกลามบานปลายจนถึงออกมาแฉโพยกลุ่มแก๊งค้าตำแหน่ง