MGR Online - ทนายลูกสาวคนโต หอบโฉนดที่ดินแสดงต่อศาล พร้อมแลกเปลี่ยนทรัพย์ให้ “แม่ประนอม” และเสนอเงินเดือนให้ใช้เดือนละ 1 ล้านบาท ขณะที่ทนายโจทก์ระบุยังไม่มีข้อสรุปเรื่องหุ้นรวมถึงหนี้นอกระบบแม่ประนอม 20 ล้านบาท พร้อมนัดไกล่เกลี่ยอีกรอบ 30 พ.ค.นี้
ที่ห้องพิจารณา 509 ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถนนสวนผัก เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 11 เม.ย. ศาลนัดไต่สวนคำร้องที่ขอเพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องในคดีแพ่ง หมายเลขดำ ส.558/2558 ที่นางประนอม แดงสุภา และ น.ส.ศิริวัลย์ แดงสุภา ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางศิริพร แดงสุภา บุตรสาวคนโต และนายสุชาติ ภาษาประเทศ สามีนางศิริพร เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดเรื่องเพิกถอนนิติกรรม ถือกรรมสิทธิ์แทนโดยคืนทรัพย์ และเรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์รวม 561,950,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยวันนี้นางประนอมและนางศิริพรไม่ได้เดินทางมา เพียงทนายความทั้งสองฝ่ายเดินทางมาศาล
ก่อนการพิจารณาคดี นายพิสิษฐ์ ชุติพรพงษ์ชัย ทนายความนางประนอม กล่าวว่า ตั้งแต่มีการไกล่เกลี่ยที่วังวรดิศเมื่อ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อทนายฝ่ายนางศิริพรได้โดยเชื่อว่าเจอกันวันนี้ อาจจะมีการพูดคุยในรายละเอียดตามที่มีข้อตกลงในเบื้องต้นที่วังวรดิศ อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการปฏิบัติจากนี้จะต้องมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในชั้นศาล เพื่อให้มีสภาพบังคับตามที่ตกลงกันไว้ เชื่อว่าแนวโน้มการเจรจาทั้งสองฝ่ายจะเป็นไปได้ดี แต่อาจไม่เสร็จสิ้นในวันนี้ เนื่องจากต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดของทรัพย์สินอีกครั้ง หากไม่สามารถตกลงกันได้ การฟ้องร้องต้องดำเนินการต่อไป
ต่อมาทนายความทั้งสองได้ร่วมแถลงต่อศาลว่าโจทก์และจำเลยเคยเจรจาตกลงกันที่วังวรดิศ โดยโจทก์ที่ 1 จะยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในคดีนี้และคดีอาญาที่ศาลจังหวัดนครปฐม แต่มีการตกลงกันจะแบ่งและแลกเปลี่ยนทรัพย์มรดกก่อน ประกอบด้วยที่ดิน 3 แห่ง รวม 10 กว่าแปลง ที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ กทม. ที่ดินจังหวัดขอนแก่น และที่ดินจังหวัดนครราชสีมา โดยจำเลยที่ 1 ได้ขอมอบเงินเดือนให้กับนางประนอม เดือนละ 1 ล้านบา ทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 59 ขณะที่ทนายความโจทก์ที่ 1 แถลงต่อว่าโจทก์ที่ 1 ต้องการทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลก่อนจึงจะถอนฟ้องและยังมีทรัพย์บางรายการที่ต้องการเจรจากับจำเลย ได้แก่หุ้นที่บริษัทน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำนวน 18,200 หุ้น และหนี้สินที่นางประนอมกู้มาเปิดร้านอาหารจำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งทนายจำเลยแถลงว่าในการเจรจาครั้งที่ผ่านมาไม่ได้มีเงื่อนไขในส่วนนี้ แต่จะนำไปหารือกับนางศิริพรก่อน หากได้ข้อสรุปแล้วจะแถลงต่อศาลนัดหน้า
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีระหว่างมารดาและบุตร หากมีการตกลงกันได้ก็จะเป็นเรื่องดีกว่าการสืบพยาน จึงให้เลื่อนนัดไต่สวนออกไปในวันที่ 30 พ.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ภายหลังนายทวิชา หวังโพคา ทนายความจำเลยที่ 2 กล่าวว่า วันนี้ได้นำโฉนดที่ดินมาแสดงต่อศาล เพื่อให้เห็นว่าพร้อมที่จะมีการแลกเปลี่ยนทรัพย์เกี่ยวกับที่ดินกว่า 10 แปลง ที่นางศิริพรได้ซื้อมาขณะที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ และจะเสนอเงินเดือนให้นางประนอมไว้ใช้จ่ายอีกเดือนละ 1 ล้านบาท ซึ่งข้อตกลงนี้ไม่เกี่ยวกับหุ้นของบริษัทและหนี้สินอีก 20 ล้านบาท บุคคลที่นำเรื่องนี้ไปพูดเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในการไกล่เกลี่ยที่วังวรดิศ และเท่าที่เห็นในบันทึกข้อตกลงก็มีเพียงที่ดินและเงินเดือน
เมื่อถามว่า นางประนอมต้องการหุ้นและให้นางศิริพรชดใช้หนี้ 20 ล้านบาทจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ นางทวิชากล่าวว่า วันนี้ได้ยืนยันต่อศาลว่าการตกลงในครั้งก่อนไม่มีเงื่อนไขนี้ มีเพียงที่ดินเท่านั้น ซึ่งศาลเห็นว่ายังมีข้อเสนอเพิ่มเติมบางส่วนของโจทก์ จึงให้คู่ความกลับไปคุยกันก่อนและนัดอีกครั้งในวันที่ 30 พ.ค.นี้ หากตกลงกันได้ก็ให้ทำบันทึกและโอนโฉนดที่ดินได้ทันทีแต่หากยังพูดคุยไม่ลงตัวก็ให้นัดอีกครั้งและกำชับให้นำคู่ความมาศาลด้วย
ด้านนายพิสิษฐ์ ทนายนางประนอม กล่าวว่า การเจรจาในวันนี้มีเพียงเรื่องหุ้นและหนี้สิน 20 ล้านบาทที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งในวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา นางประนอมได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเจรจาว่าลูกสาวจะคืนหุ้นให้ แต่ที่ทนายจำเลยอ้างว่าไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการเจรจา ตนเข้าใจว่าอาจเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างแม่และลูก เพราะในวันนั้นรายละเอียดที่คุยค่อนข้างเยอะ ศาลจึงให้ทนายความประสานคู่ความเจรจากันว่าส่วนไหนสามารถยืดหยุ่นกันได้บ้าง สำหรับฝ่ายตนหากนางประนอมพึงพอใจในส่วนไหนก็จะทำตามความต้องการ ทนายความจะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องทรัพย์สินซึ่งทิศทางเป็นไปด้วยดี หากตกลงกันได้ในเรื่องนี้ก็จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาล และจะถอนฟ้องทั้งสองคดีต่อไป สำหรับโจทก์ที่ 2 ศาลก็ให้ไปเจรจากับฝ่ายจำเลยด้วย หากยุติเรื่องได้ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ดี หลังจากนี้ตนจะกลับไปคุยกับลูกความในเรื่องทรัพย์ที่ตกลงกันได้แล้ว เหลือเพียงรายละเอียดเพียงเล็กน้อย แม่ลูกน่าจะคุยกันได้