หวั่นข้อมูลปราบปรามผู้มีอิทธิพล “มั่ว” แม้แต่นายพลตำรวจ ยังเจอดี เผย “รองผบช.ภ. 2” เป็นตำรวจน้ำดีมีผลงานเป็นที่ยอมรับสมัยเป็น ผบก.จันทบุรี จับตา “บิ๊กแป๊ะ”น็อตหลุดหลังออกมาโวยข้อมูลปราบมาเฟีย คสช. “เออเร่อ” ใส่ชื่อมั่วทั้งคนตาย คนติดคุก
เละเทะ “โอละพ่อ”กันไปเรียบร้อยกับนโยบายปรายปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล ที่มีระยะเวลายาวนานถึง 6 เดือนโดยจะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2559 นั้น จากการสนองตอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การควบคุมของพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.และพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกล รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง แรกเริ่มปฏิบัติการด้วยใจระทึกมีการปิดล้อมบ้าน“ขาใหญ่”ต่างๆในหลายจังหวัดทั้งภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสานและภาคเหนือแต่ส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าเป็นการระดมกวาดล้างอาชญากรรมธรรมดาๆที่ตำรวจทำกันอย่างสม่ำเสมออยู่แล้วต่างเพียงแต่เที่ยวนี้มีการตีฆ้องร้องป่าวให้อึกทึกเพราะทางการเป็นผู้ประกาศว่าในบรรดาเจ้าพ่อมาเฟียที่เป็นพลเรือน หรือประเภทมือไม้ของนักการเมืองทั้งหลายนั้นยังมีข้าราชการทหาร -ตำรวจ เข้าไปพัวพันด้วยอีกกว่า 6,000 นายแยกเป็นส่วนตำรวจประมาณ 200 และมีระดับพล.ต.ท.รวมอยู่ด้วย
ขณะที่สังคมกำลังจับตาดูผลการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในส่วนที่เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอยู่นั้นวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมามีคำสั่งย้ายด่วนพล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รองผบช.ภ.2 ให้มาช่วยราชการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งภายใน หรือที่เรียกกันว่า “ย้ายเงียบ”กว่าจะเป็นข่าวตามสื่อต่างๆล่วงเลยมาถึงวันเสาร์ที่ 19 มี.ค.และกลายเป็นข่าวชิ้นหนึ่งที่สังคม และสื่อให้ความสนใจเพราะมีกระแสด้วยว่าการย้ายครั้งนี้เพื่อสนองนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล อย่างไรก็ตามแม้ข้อมูลต่างๆที่ระดับบังคับบัญชาได้รับรายงานไปก่อนหน้าจนมีคำสั่งย้ายฟ้าผ่านั้นกลับตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงในพื้นที่ราวฟ้ากับเหว
ประวัติคร่าวๆของพล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ เป็น นรต.34 มีเพื่อนร่วมรุ่นที่น่าสนใจหลายคนอาทิพล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันกุล พล.ต.ท.สมศักดิ์ จันทะพิงค์ พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ พล.ต.ท.ศักดา เตชะเกรียงไกรและพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร เป็นต้น พล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ มีเส้นทางเติบโตทางราชการอย่างเรียบง่ายไม่หวือหวา อยู่กับภาคตะวันออกมาโดยตลอด และเมื่อครั้งเป็นผบก.ภ.จว.จันทบุรี ได้รับการยอมรับจากภาคประชาชน และส่วนราชการเป็นอย่างยิ่งถือว่าเป็นนายตำรวจน้ำดีคนหนี่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ว่าได้
จากข้อมูลนี้เองจึงเกิดความขัดแย้งกันในตัวอีกทั้ง สตช.ซึ่งเป็นต้นสังกัดเองก็ไม่สามารถให้ความชัดเจนได้กระทั่งวันที่ 20 มี.ค.พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงว่าผู้ที่จะให้ความกระจ่างในเรื่องนี้มีเพียงคนเดียวคือ ผบ.ตร. อย่างไรก็ตามนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาลนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเดินหน้าต่อไปอย่างจริงจังหากมีข้าราชการคนใดเข้าไปเกี่ยวข้องจะต้องดูดำเนินการตามกฏหมายด้วย
และความจริงก็ปรากฏขึ้นโดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ออกมายอมรับในวันรุ่งขึ้นว่าเป็นความผิดพลาดของการตรวจสอบข้อมูล เมื่อตรวจสอบไม่พบว่าพล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รองผบช.ภ.2 ไม่เกี่ยวข้องด้วย สตช.จะคืนความชอบธรรมด้วยการย้ายกลับ
“พอมีชื่อมาก็สำรวจว่าน่าจะเป็นใครจึงสั่งให้มาช่วยราชการตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเรียกพี่สุรพล มาคุยแล้วภายในสัปดาห์นี้จะออกคำสั่งส่งตัวกลับ ระหว่างนี้อยู่ที่การตรวจสอบให้ครบกระบวนการ ตรวจพบชื่อตรงแต่นามสกุลผิดไป นามสกุลที่ส่งมาพ้องๆคล้ายๆถูกแค่ครึ่งหนึ่ง พอมีชื่อมาผมย้ายไป จากนั้นตรวจสอบข้อมูลอ้างว่าอยู่ทางตำรวจภูธรภาค 4 ผมก็ตรวจกลับไปที่ภาค 4 ภาค 4 ตอบว่าไม่มี ถามไปที่ภาค 2 ฝ่ายกำลังพลก็ไม่ปรากฏชื่อ-นามสกุล ที่ว่าอย่างตรงตัว ผมจำไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานอะไร ข้อมูลที่ คสช.ส่งมาเออเร่อ บางคนตายไปแล้วก็มี ติดคุกอยู่ก็มี ส่วนที่ระบุว่ามีนายพลตำรวจชื่อพล.ต.ต.สุรพล เกี่ยวข้องเป็นผู้มีอิทธิพลจึงเป็นเรื่องผิดตัว อย่างไรก็ตามทุกข้อมูลจะต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จากนี้จะทำเรื่องส่งต่อไปยังศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล คสช.อีกครั้ง”
ชัดๆจาก “บิ๊กแป๊ะ”คือเมื่อเกิดความผิดพลาดก็ต้องออกมายอมรับ ไม่ดันทุรัง แม้เรื่องราวเหล่านี้อาจจะจบอย่างเจ๊าๆกันไปโดยท่าทีของฝ่ายโดนกระทำคือพล.ต.ต.สุรพล วิรัตน์โยสินทร์ รองผบช.ภ.2 คงไม่เลือกเส้นทางต่อความยาวสาวความยืด เพราะยุคนี้อาจไม่เหมาะกับการฟ้องร้องผู้บังคับบัญชา ยิ่งเป็น “เจ้านาย”ระดับคีย์แมนของ คสช.ยิ่งไม่น่าข้องแวะด้วยประการทั้งปวง
แต่ข้อเท็จจริงต่างๆย่อมปรากฏให้เห็นถึงคุณภาพ “ข่าวสาร -ข้อมูล”ของฝ่ายการข่าวที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ คสช. หรือ สตช.ก็ตามเพราะความผิดพลาดครั้งนี้เกิดขึ้นกับข้าราชการตำรวจมียศตำแหน่งสูงถึง “นายพล” หากในทางกลับกันไปเกิดกับพลเรือน หรือชาวบ้านที่ทางการได้รับข้อมูลมาจากฝ่ายข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นการปราบปรามผู้มีอิทธิพลให้เห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังจะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติใดๆ ไม่เลือกพรรคเลือกพวกหรือคนของฝ่ายใคร
เมื่อจัดการกับระบบ “ข้อมูล”เรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ การออกคำสั่งด่วนโดยไม่ตรวจสอบให้ “ชัวร์”เสียก่อนมีผลเสียตามมาอย่างมากมาย ทั้งในเรื่องความเชื่อ ความรู้สึกของสุจริตชนที่เริ่มไม่แน่ใจในความแม่นยำ ภาพหนึ่งที่สะท้อนออกมาจากคำพูดของ “บิ๊กแป๊ะ”ที่ระบุอย่างโต้งๆว่าข้อมูล คสช. “เออเร่อ” หรือภาษาชาวบ้านก็คือ “มั่ว”ผิดๆถูกๆแม้แต่คนติดคุก หรือคนตายก็ยังโผล่ในบัญชีผู้มีอิทธิพล
ภายใต้ภาวการณ์กดดันต่างๆที่โถมเข้าใส่ ผบ.ตร.ก็คงจะถึงวันที่ต้องบ่น ต้องเปิดออกมาให้สาธารณะได้รับทราบกันบ้าง เพราะที่ผ่านมาคนใก้ลชิดต่างรู้ดีว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา คือนายตำรวจที่อยู่ในประเภทใจถึง-พึ่งได้ และไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง
การไม่เป็นตัวของตัวเองนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์โดยการสนับสนุนของเครือข่ายสายอำนาจต่างๆทำให้เขาย่างเข้าสู่ “ขาลง”อย่างรวดเร็ว ภาพลักษณ์ต่างๆจากสังคมภายนอกที่มองเข้ามา หรือแม้แต่สังคมภายในที่ตำรวจส่วนใหญ่มีความหวังว่า “บิ๊กแป๊ะ”จะเป็นเจ้านายคนใหม่ที่หวังพึ่งพิงได้ รวมทั้งจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ที่ตกต่ำอย่างสดขีดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไว้ได้
เมื่อกล้าพูด กล้าวิจารณ์เพื่อนำไปสู่ความถูกต้อง งานนี้แม้จะเสี่ยงกับอารมณ์ของผู้มีอำนาจอยู่บ้างแต่น่าจะได้ใจลูกน้องกลับมาไม่มากก็น้อย