xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” ยื่นอัยการค้าน “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ถอนประกัน โยนจี้คดี กปสส. วอนเสมอภาค (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - “จตุพร-ธิดา” ยื่นหนังสือถึงอัยการ ค้านคำร้อง “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ที่เคยยื่นให้ถอนประกันคดี นปช.ก่อการร้าย ทวงสั่งฟ้องคดี กปปส. เพื่อไม่ให้ จนท.เกิดข้อครหานำไปสู่ความแตกแยก เพียงต้องการความเสมอภาค ยันไม่กังวลเพราะไม่ผิดเงื่อนไขประกันตัว



เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้( 9 มี.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยคดีร่วมกับแกนนำ นปช.ก่อการร้าย ปี 2553 พร้อมด้วยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ได้ยื่นหนังสือต่ออธิบดีอัยการคดีพิเศษเพื่อคัดค้านคำร้องของพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ที่เคยมายื่นหนังสือให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อถอนประกันตัวเองในคดีร่วมกับแกนนำชุมนุมก่อการร้าย โดยนายจตุพรได้ยื่นหลักฐานเป็นแผ่นวีดิทัศน์บันทึกภาพและเสียงสัมภาษณ์พระพุทธะอิสระ

โดยก่อนยื่นหนังสือคัดค้าน นายจตุพรกล่าวว่า มาคัดค้านกรณีพระพุทธะอิสระขอให้อัยการยื่นศาลถอนประกันตนในคดี นปช.ก่อการร้าย โดยหยิบยกประเด็นที่กล่าวหาว่าปาราชิก ตนระบุชัดเจนว่าผู้ที่จะบอกว่าปาราชิกหรือไม่ คือคณะสงฆ์ แต่ตนในฐานะที่เป็นชาวพุทธและศิษย์วัดบวรฯ ไม่อาจยอมรับนับถือพระพุทธะอิสระได้ เพราะเคยมีพฤติการณ์นำมวลชนไปบุกหน่วยงานราชการ และศาลสั่งให้ชดใช้เงินจำนวน 4 แสนบาทกรณีไปชุมนุมที่ดีเอสไอ ที่สำคัญพระพุทธะอิสระถูกดำเนินคดีรวม 9 คดี มีบางส่วนอยู่ในขั้นตอนของอัยการ

นายจตุพรกล่าวยืนยันว่า ไม่รู้สึกกังวลกรณีที่ถูกยื่นถอนประกันแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขประกันตัว และมีข่าวว่าพระพุทธะอิสระจะมายื่นถอนประกันนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แนวร่วมกลุ่ม นปช.อีกราย ซึ่งคงจะใช้สิทธิคัดค้านเช่นเดียวกับตนเอง ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าตนจาบจ้วงสมเด็จพระสังฆราชนั้น พระพุทธะอิสระคงจะลืมไปว่าตนเป็นศิษย์วัดบวรฯ กินข้าวก้นบาตรมานาน และพระพี่ชายของตนเองคือเจ้าคุณระแบบ ก็เคยทำหน้าที่รับใช้สมเด็จพระสังฆราชอย่างใกล้ชิด เพราะฉะนั้นกรณีที่ตนได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับพระลิขิตนั้นตนไม่เคยพูดว่าจริงหรือปลอม ตนจึงไม่เคยจาบจ้วงสมเด็จพระสังฆราช

นายจตุพรกล่าวภายหลังยื่นหนังสือคัดค้านว่า เบื้องต้นนายอิทธิพล เพิ่มศรี รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษรับหนังสือแทน โดยจะเสนออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ท่านรองอธิบดีอัยการเพียงแต่รับฟัง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ซึ่งตนได้อธิบายรายละเอียดในหนังสือคัดค้านทั้งหมด ตั้งแต่พฤติการณ์ของพระพุทธะอิสระ รวมทั้งข้อกล่าวหาทั้ง 9 คดี ที่พนักงานอัยการยังไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เหลืออีก 54 คน โดยสั่งฟ้องต่อศาลแล้วเพียง 4 คนเท่านั้น ภายหลังดีเอสไอได้มีความเห็นสมควรฟ้องให้อัยการพิจารณาอีก 31 คน ซึ่งนายวิญญัติ ชาติมนตรีทนายความเคยมาสอบถามพนักงานอัยการว่าเหตุใดจึงยังไม่สั่งฟ้องแกนนำ กปปส. รวมทั้งพระพุทธะอิสระ

“พวกผมถูกจับกุมและคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลานาน ผู้ต้องหาบางรายอยู่ในเรือนจำนาน 9 เดือนก็มี แต่กลุ่ม กปปส.ไม่เคยถูกควบคุมตัวแม้แต่วันเดียว เราต้องการความเสมอภาค ความเท่าเทียมและความยุติธรรมเท่านั้นเอง ส่วนการยื่นถอนประกันนั้นก็ได้ชี้แจงตามเอกสาร และเห็นว่าการที่ปล่อยให้พระพุทธะอิสระเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่มีการระงับยับยั้ง ต่อไปนี้พระพุทธะอิสระไปไหน ผมจะไปยื่นหนังสือที่นั่น ไม่อยากให้เกิดความรู้สึกว่าพระพุทธะอิสระทำอะไรก็ได้ ขณะที่คณะสงฆ์ พระเมธีธรรมาจารย์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะ กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างพระพุทธะอิสระ เพราะฉะนั้นการแถลงข่าวในวัดกับการบุกสถานทูตเปรียบเทียบกันไม่ได้ พระพุทธะอิสระจะเป็นพระอาจารย์ใครก็ตาม แต่ว่าถ้าใครคนนั้นมีหน้าที่ในการปกครองบริหารบ้านเมืองก็ควรจะแยกแยะและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่ใช่พระพุทธะอิสระเจิมหน้าผากให้แล้วจะเคลื่อนไหวได้โดยไม่ระงับยับยั้ง” นายจตุพรกล่าว

ทั้งนี้ หนังสือคัดค้านเนื้อหาสรุปว่า หนังสือกล่าวหาว่าตนได้ใส่ร้ายพระพุทธะอิสระได้กระทำผิดเงื่อนไขในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น ใส่ร้ายพระพุทธะอิสระให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง และจาบจ้วงสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ให้ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศนั้น ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาให้ถอนประกันซึ่งกระทบสิทธิในกระบวนการยุติธรรมโดยตรง เพื่อให้ถูกจำกัดสิทธิในการปล่อยชั่วคราว เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต มีเจตนาซ่อนเร้นทางการเมือง เนื่องจากพระพุทธะอิสระไม่มีสิทธิหรืออำนาจตามกฎหมายขอให้ถอนประกันได้ เนื่องจากพุทธะอิสระไม่ได้เป็นพยานในคดีที่ตนได้รับการปล่อยชั่วคราว ประกอบกับพุทธะอิสระเป็นผู้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับจริยวัตรสงฆ์ เช่น การจองโรงแรมเอสซีปาร์คเป็นค่าเสียหาย 1.2 แสนบาท และยังเป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปยึดอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดีเอสไอ ซึ่งศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 1.4 ล้านบาท นอกจากนี้ พระพุทธะอิสระยังตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันเป็นกบฏ และความอาญาฐานอื่นรวม 9 ข้อหาร่วมกับกลุ่ม กปปส.ซึ่งพนักงานอัยการคดีพิเศษได้ส่งฟ้องผู้ต้องหาที่ได้ร่วมกับพุทธะอิสระต่อศาลอาญาไปแล้ว 4 คนโดยยังเหลือผู้ต้องหาอีก 54 คน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดีของอัยการสำนักคดีพิเศษ ซึ่งมีพระพุทธะอิสระรวมอยู่ด้วยโดยเหตุดังกล่าว การที่พระพุทธะอิสระได้แสดงออกต่อสาธารณชนโดยการข่มขู่เป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพของตนในฐานะประชาชนเป็นการละเมิดกฎหมาย มีเจตนาซ่อนเร้นโดยการนำเอาองค์กรอัยการหรือศาลมาเป็นเครื่องมือจัดการฝ่ายตรงข้าม ดังปรากฏคำให้สัมภาษณ์ต่อหนึ่งว่า “..ก็น่าจะมีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะเล่นงานเขาได้ หรือจะทำให้เขาต้องไปนอนในคุกได้..”

ส่วนที่พระพุทธะอิสระกล่าวหาว่าตนได้กล่าวเท็จใส่ร้ายให้ต้องอาบัติปาราชิกขาดความเป็นพระ เป็นที่รังเกียจในหมู่สงฆ์นั้น ขอชี้แจงว่าการที่สงฆ์รูปใดต้องขาดจากความเป็นพระนั้น เป็นเรื่องของสงฆ์ต้องไปว่ากันตามพระธรรมวินัย มิใช่เรื่องตนที่จะไปทำให้พระพุทธะอิสระต้องปาราชิก การที่ตนแสดงความคิดเห็นในกรณีการเคลื่อนไหวของพุทธะอิสระที่ออกมาคัดค้านมติเถรสมาคมที่เห็นชอบกับการเสนอชื่อพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดเอสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อให้มีการยึดตามจารีตประเพณีที่สืบกันมา และเห็นว่าการที่พระพุทธะอิสระต่อต้านการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช เป็นผลให้เกิดการตั้งคำถามต่อการกระทำจากคณะสงฆ์ทั่วประเทศ กล่าวอ้างความเสื่อมเสียระแวงสงสัยในหมู่สงฆ์จึงไม่ได้เป็นผลจากการกระทำของตนเอง การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้างเองและปราศจากเหตุผล

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ตนในฐานะประธาน นปช.ทราบว่า ดีเอสไอได้สอบสวนการกระทำผิดของกลุ่ม กปปส.ที่มีผู้ต้องหา 58 คนร่วมกันกระทำผิด 9 ข้อหาซึ่งเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2557 ดีเอสไอได้สรุปสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ส่งให้อัยการคดีสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาและได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหา4รายเป็นจำเลยต่อศาลอาญาแล้ว และมีการส่งผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการเพิ่มอีกจำนวน 31 คนในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2557 แม้จะปรากฏว่าผู้ต้องหายังไม่ถูกฟ้อง เนื่องจากได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม แต่ด้วยข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์ของผู้ต้องหาดังกล่าวปรากฏชัดต่อสาธารณชน และตามทางการสืบสวน เป็นที่ประจักษ์ว่าพฤติการณ์และพยานหลักฐานเข้าข่ายการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายข้อหา จึงไม่มีความจำเป็นที่ทำให้การส่งตัวผู้ต้องหาที่เหลือฟ้องต่อศาลให้เนิ่นช้า เชื่อว่าประชาชนจำนวนมากสนใจคดีนี้ ย่อมมีความเคลือบแคลงสงสัยถึงกระบวนการทำงานของพนักงานอัยการที่รับผิดชอบ และเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเกิดข้อครหาอันเป็นการนำไปสู่ปัญหาการแตกแยกของคนในชาติ อาศัยเหตุดังกล่าว ขอให้พนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความเป็นธรรมโดยให้ข้อกล่าวหาของพระพุทธะอิสระนั้นตกไป และนำความกังวลของประชาชนจำนวนมากที่เห็นว่าในส่วนคดีของพระพุทธะอิสระนั้นยังไม่ได้ถูกฟ้องดำเนินคดีต่อศาล และการพิจารณามีความล่าช้า จึงขอให้อัยการได้พิจารณาสำนวนและมีการพิจารณาสั่งฟ้องและนำตัวพระพุทธะอิสระกับพวกผู้ต้องหาฟ้องต่อศาลอาญาโดยเร็ว


















กำลังโหลดความคิดเห็น