MGR Online - ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติระบุแก๊งคนร้ายบุกปล้นร้านปืนย่านวังบูรพามี 5 คน เป็นชาวจีน-มองโกเลีย วางแผนเตรียมการอย่างดี มีหัวหน้าใหญ่เป็นผู้สั่งการยังอยู่ระหว่างหลบหนี เบื้องต้นหนึ่งในคนร้ายที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเสียชีวิตแล้ว
วันนี้ (4 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. พ.ต.อ.สุริยา จำนงโชค ผกก.ฝ่ายสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ รับแจ้งเหตุมีคนร้ายเข้าปล้นร้านห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์อาร์ม เลขที่ 127/17 ซอยสามยอดพลาซ่า ถ.เจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กทม. จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่รุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบคนร้ายที่ถูกเจ้าของร้านขายปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงสกัดได้รับบาดเจ็บจำนวน 3 คน เบื้องต้นพบว่าคนร้ายเป็นชาวจีนไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ จากการตรวจสอบพบของกลางตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ประกอบด้วย สิ่งเทียมอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก, มีดพก 1 เล่ม, กุญแจมือ 1 คู่, วิทยุสื่อสาร 2 เครื่อง, จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ซูมเมอร์เอ็กซ์ สีดำ ทะเบียน สมค 122 กรุงเทพมหานคร, จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าคลิก สีแดง ทะเบียน รษน 788 กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ในที่เกิดเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 5 ราย แบ่งเป็นคนร้ายจำนวน 3 คน นำส่งโรงพยาบาลตำรวจ 2 คน โรงพยาบาลกลาง 1 คน ส่วนเจ้าของร้านปืนทราบชื่อภายหลังคือ นายปกรณ์ แดงละม้าย อายุ 38 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ นำตัวส่งโรงพยาบาลศิริราช และนายสิทธินนท์ มนธาพันธ์ อายุ 32 ปี ลูกจ้างร้านปืน ได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง นำส่งโรงพยาบาลหัวเฉียว อย่างไรก็ตาม คนร้ายจำนวน 1 คนได้หลบหนีไปอยู่ภายในซอยศิริชัย 1 ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ระดมกำลังทำการปิดล้อมติดตามจับกุม
ต่อมาเวลา 11.00 น. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร พร้อมด้วย พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.ทท. พล.ต.ต.ทรงพล วัธนะชัย ผบก.น.6 และ พ.ต.อ.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ โดย พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า หลังจากเจ้าของร้านเปิดร้านได้เพียง 10 นาที มีคนร้ายจำนวน 4 คนบุกปล้นร้านค้าปืนดังกล่าวโดยมีนายปกรณ์และลูกจ้างเป็นผู้ต่อสู้กับคนร้ายจนได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้วิ่งหลบหนีไปแต่ถูก ร.ต.อ.ธวัชชัย ผิวอ่อง รอง สว.จร.สน.พลับพลาไชย 2 อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยอรินทราช และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด เจ้าของร้านปืนใกล้เคียงยิงสกัดไว้ได้
ด้าน ร.ต.อ.ธวัชชัยเปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุขณะเข้ามาเอาซองปืนใกล้กับที่เกิดเหตุ มีชาวบ้านแจ้งว่ามีคนร้ายหลายคนเข้าไปปล้นปืนที่ร้านอินเตอร์อาร์ม จึงได้หลบซุ่มอยู่เพราะคนร้ายมีจำนวนหลายคนและมีอาวุธปืน ได้ดักรออยู่กระทั่งคนร้ายออกจากร้านพบว่าในมือถืออาวุธปืนและปิดบังใบหน้าจึงเรียกเพื่อทำการตรวจสอบ แต่คนร้ายไม่หยุดและชักปืนต่อสู้จึงได้เกิดการยิงปะทะกัน
ในเวลาต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.6 ได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายหลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุโดยใช้จักรยานยนต์ขับขี่เข้าไปในซอยศิริชัย 1 ถนนมหาไชย แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กทม. ก่อนจะซุกซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านไม้ร้างเลขที่ 372 เจ้าของบ้านคือ น.ส.ธีรพร บุศยอังกูร ขณะเกิดเหตุไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้กั้นพื้นที่ใกล้เคียงและบอกให้ประชาชนที่พักอาศัยในละแวกดังกล่าวล็อกประตูและอยู่ภายในตัวบ้าน โดยมีประชาชนยืนมุงดูเหตุการณ์กันอยู่เป็นจำนวนมาก
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ กก.สส.บก.น.6 ประมาณ 10 นายพร้อมอาวุธครบมือเข้าปิดล้อมบริเวณหน้าบ้านดังกล่าว ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงก่อนจะเข้าบุกชาร์จจับตัวไว้ได้ในที่สุด ทราบชื่อคนร้าย คือ นายหลี่ กวน เปี่ยว ชาวจีน-มองโกเลีย จึงควบคุมตัวมายังบริเวณร้านที่เกิดเหตุเพื่อให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.สอบสวน
ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.อ.จักรทิพย์เปิดเผยภายหลังสอบปากคำเบื้องต้นนายหลี่โดยมีล่ามชาวจีนเป็นผู้แปลภาษาว่า เมื่อเวลา 10.00 น.ได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.ศานิตย์ ว่ามีเหตุปล้นทรัพย์ร้านปืน จากการตรวจสอบภายหลังทราบว่าเป็นชาวจีน-มองโกเลียจำนวน 5 คน โดยพกสิ่งเทียมอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก มีดพก 1 เล่มเข้ามาภายในร้านปืนดังกล่าวเพื่อบุกรุกประสงค์ต่อทรัพย์ ซึ่งในขบวนการทั้งหมดจะมีหัวหน้าใหญ่ 1 คนเป็นผู้สั่งการ และมีลูกน้องอีก 4 คนเป็นผู้ลงมือทำ มีการวางแผนเป็นอย่างดี โดยเมื่อวันที่ 3 มีนาคมได้มาดูสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวแล้วจึงลงมือก่อเหตุในวันนี้
จากการซักถามนายหลี่ในการก่อเหตุครั้งนี้ทราบเพียงว่ามาปล้นปืนแต่ไม่ทราบว่าหัวหน้าจะนำปืนไปทำอะไร ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าชาวจีนทั้ง 4 คนเข้าออกภายในประเทศเดินทางเข้าไทยครั้งแรกพร้อมกันวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และอีก 1 คนซึ่งเป็นหัวหน้าเดินทางเข้าออกไทยหลายครั้ง โดยขณะนี้หัวหน้ายังคงหลบหนีอยู่ในประเทศไทย ตนได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ศานิตย์ และ พล.ต.ต.ทรงพล ดำเนินการติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ขณะที่จักรยานยนต์ที่คนร้ายขับขี่มานั้นเป็นการสวมแผ่นป้ายทะเบียนปลอม จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นรถที่ขโมยมาเพื่อก่อเหตุ และจากการตรวจสอบไม่มีคนไทยเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว
พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวต่อว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ร้อยละ 80-90 มาเพื่อการท่องเที่ยว สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการวางมาตรการที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เจ้าของร้านและพนักงานได้รับบาดเจ็บ และผู้ต้องหาถูกตำรวจยิงได้รับบาดเจ็บ 2 ราย เสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย
ต่อมาเวลา 13.00 น. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบช.น.กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทั้งนี้จากการตรวจสอบไม่เคยมีชาวต่างชาติก่อเหตุในพื้นที่ดังกล่าว จากการก่อเหตุดังกล่าวเชื่อได้ว่ากลุ่มคนร้ายทำงานเป็นมืออาชีพ ขณะนี้ได้ประสานไปยังสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เพื่อทำการสกัดกั้นคนร้าย สำหรับจักรยานยนต์คันก่อเหตุเป็นรถเช่าซึ่งต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.6 ได้คุมตัวนายหม่า เกิง (MR.MA GENG) อายุ 34 ปี หนึ่งในคนร้ายที่ก่อเหตุปล้นร้านห้างหุ้นส่วนจำกัด อินเตอร์อาร์ม เข้าค้นห้องพัก 3 จุดภายในโฟร์ซั่น เกสท์เฮ้าส์ และ อีกแห่งเป็นเกสท์เฮ้าส์ไม่มีชื่อ ในซอยชนะสงคราม และพิชชี่ เกสท์เฮ้าส์ ริมถนนพระอาทิตย์ จากการตรวจค้นพบแต่เพียงเสื้อผ้าและของใช้ของคนร้าย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด ก่อนจะนำตัวนายหม่า เกิง กลับมาสอบสวนต่อไป
ด้านพนักงานของพิชชี่เกสท์เฮ้าส์(ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) กล่าวว่า เห็นกลุ่มคนร้ายทั้งหมด 5 คน เข้ามาเปิดห้องพักพร้อมกัน จำนวน 3 ห้อง โดยพักห้องละ 2-3 คน สลับกันวนมาพัก โดยระหว่างที่พักก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าทั้งหมดได้ก่อเหตุปล้นร้านปืน
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบสวนพบว่าคนร้ายทั้ง 5 รายได้เดินทางเข้าเช็คอินเข้าพักที่พิชชี่ เกสท์เฮ้าส์ เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ทันทีหลังจากที่ลงเครื่องบิน ก่อนจะเช็คเอ้าท์ออกไปวันที่ 2 มี.ค. จากนั้นคนร้าย 3 ใน 5 คนได้เข้าเช็คอินที่โฟร์ซั่น เกสท์เฮ้าส์ โดยอีก 2 คนได้แยกไปเช็คอินที่เกสท์เฮ้าส์ไม่มีชื่อในซอยเดียวกัน ทั้งนี้จากการสอบสวนยังไม่พบมูลเหตุจูงใจว่าเป็นการก่อการร้ายในการปล้นอาวุธปืนครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนอย่างละเอียดของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อหาสาเหตุในการก่อเหตุครั้งนี้