MGR Online - อธิบดีกรมคุมประพฤติ ร่วมหลายหน่วยงานเปิดโครงการ “ดื่มแล้วขับหรือขับขี่โดยประมาท ถูกจับคุมประพฤติ” ลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ด้านตัวแทนเหยื่อคนเมาแล้วขับฝากผู้ดื่มอย่าขับรถเพื่อรับผิดชอบสังคมร่วมกัน
วันนี้ (25 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. บริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษดินแดง พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ เป็นประธานในพิธีเปิดการรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน “ดื่มแล้วขับหรือขับขี่โดยประมาท ถูกจับคุมประพฤติ” โดยมีนายทัพพ์ฐพนธ์ ลั่นซ้าย ผอ.สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 2 นายชัย แก้วเพ็ง ผอ.กองจัดเก็บค่าผ่านทาง 1 เจ้าหน้าที่อาสาสมัครสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 2 พร้อมด้วย ผู้อยู่ระหว่างถูกคุมประพฤติ และผู้ได้รับบาดเจ็บจากคนเมาแล้วขับ ร่วมแจกแผ่นพับรณรงค์ประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าว ราว 100 คน
พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์เปิดเผยว่า กรมคุมประพฤติร่วมกับหลายหน่วยงาน อาทิ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กรมการขนส่งทางบก มูลนิธิเมาไม่ขับ เพื่อรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยทางราชการจะเพิ่มความเข้มในการดูแล อย่างเช่นทาง คสช.จะมีมาตรการยึดรถสำหรับผู้เมาแล้วขับ เชื่อว่าจะทำให้เกิด 2 อัตรา 1. อัตราความสูญเสียจะลดน้อยลง 2. อัตราการจับกุมหรือว่าอัตราการถูกคุมประพฤติจากหน่วยงานกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติจะมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อความสุขของประชาชนในการเดินทางสัญจรกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่ได้อย่างปลอดภัย
พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์กล่าวอีกว่า หากพบว่ามีผู้กระทำผิดเมาแล้วขับในเทศกาลปีใหม่นั้นที่ผ่านมาทางกรมคุมประพฤติเป็นหน่วยงานที่ปฎิบัติตามคำสั่งศาล โดยส่วนใหญ่ศาลจะพิพากษาจำคุกแต่ว่าหากส่งมาที่กรมคุมประพฤติคือต้องเป็นทางศาลที่เมตตา คือ ลงโทษแต่ให้รอลงอาญาไว้ก่อนและสั่งให้มารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติ โดยมีเงื่อนไขกิจกรรมต่างๆ ซึ่งทั่วไปมาตราการสำคัญที่ใช้เป็นการบริการสังคม เช่น วันนี้มีผู้ถูกคุมประพฤติหลายรายที่เดินทางมาร่วมรณรงค์แจกแผ่นพับ ใบปลิว ประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนที่ใช้ทางด่วนได้รับรู้รับทราบพร้อมใช้ความระมัดระวัง ไม่ประมาทในการขับขี่รถ และไม่ดื่มสุราขณะขับขี่รถ เป็นต้น นอกจากนี้ บางครั้งก็มีนโยบายไปเยี่ยมผู้ป่วยช่วยเช็ดตัว ช่วยปฐมพยาบาล ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายคนป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการเป็นเหยื่อคนเมาแล้วขับ หรือ ขับขี่โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายทางร่างกาย
ด้าน น.ส.ประภาวัลย์ เมฆประสาท อายุ 50 ปี ผู้ได้รับบาดเจ็บการคนเมาแล้วขับ กล่าวเปิดเผยว่า ตนเองไม่สามารถเดินได้เพราะอวัยวะช่วงล่างใช้การไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นตลอด โดยครอบครัวได้พักอาศัยอยู่ย่านหนองแขม สำหรับอุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2540 ช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ตนนั่งแบบผู้หญิงซ้อนท้ายจักรยานยนต์น้องชายออกไปตลาดห่างจากบ้านพักประมาณ 1 กิโลเมตร ผ่านถนนที่มี 2 เลนรถวิ่งสวนกันไม่มีเกาะกลาง กระทั่งจังหวะมีรถยนต์เป็นผู้ชายเมาแล้วขับสวนมาเฉี่ยวชนทำให้จักรยานยนต์เสียหลัก ตนหงายหลังกระแทกพื้นทำให้กระดูกหลังมีปัญหาจนส่งผลถึงร่างกายช่วงล่างใช้การไม่ได้มาหลังจากนั้น แต่คู่กรณีก็ช่วยค่ารักษาบางส่วน
“อยากฝากคนดื่มสุราแล้วเมาอย่าขับรถดีกว่า หากเกิดอุบัติเหตุชนคนขึ้นมา ถ้าเสียชีวิตก็คงทีเดียวจบ แต่หากไม่เสียชีวิตและพิการจะทำให้ยิ่งลำบากมากกว่าเดิม ต้องทำให้ครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะดื่มสุราก็ควรอยู่บ้านไม่ต้องขับรถ เพื่อร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม”
รายงานข่าวแจ้งว่า จากสถิติตั้งแต่ 1 ม.ค. - 30 พ.ย. 58 มีจำนวนคดีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก จำนวน 49,125 คดี เป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา จำนวน 42,831 คดี ขับรถประมาทจำนวน 5,996 คดี และคดีอื่นๆจำนวน 6,294 คดี โดยส่วนใหญ่คดีเมาแล้วขับอยู่ในกลุ่มอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป
สำหรับอัตราโทษของผู้ดื่มแล้วขับและขับขี่โดยประมาท ฐานความผิด เมาแล้วขับ จำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ (พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาต) / ฐานความผิด เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ จำคุก 1-5 ปี และ ปรับ 20,000-100,000 บาท (พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต) / ฐานความผิด เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 2-6 ปี และปรับ 40,000-120,000 บาท (พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต) / ฐานความผิด เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3-10 ปี และปรับ 60,000-200,000 บาท (พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ เพิกถอนใบอนุญาต) / ขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ /ขับขี่โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก ไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ