MGR-Online - รรท. รอง ผบ.ตร. หอบสำนวนแก๊ง “หมอหยอง” - “สารวัตรเอี๊ยด” - “จิรวงศ์” ส่งให้กองคดีฯ ตรวจสอบ เผยมีความเห็นสั่งฟ้องคนเดียว เหตุเพราะ 2 คนแรกตายระหว่างคุมขัง คาด 1 สัปดาห์ ส่งต่อให้คณะกรรมการคดีหมิ่นฯ ตร. พิจารณาต่อไป เชื่อหลักฐานแน่นเอาผิดได้
วันนี้ (12 พ.ย.) เมื่อเวลา 15.40 น. กองคดีอาญา สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการแทน รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงหาผลประโยชน์ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมทีมงานชุดสอบสวนได้นำสำนวนคดีแอบอ้างสถาบันฯ กลุ่มของ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง, พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ สารวัตรเอี๊ยด อดีต สว.กก. 1 บก.ปอท. และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ อาร์ต คนสนิทหมอหยอง เลขที่ 96/2558 โดยสำนวนมีความหนากว่า 500 หน้า มาส่งให้กองคดีฯดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเพื่อเสนอต่อไปยัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า สำนวนคดีดังกล่าวที่นำมาส่งให้กองคดีอาญาวันนี้เป็นสำนวนคดีขบวนการแอบอ้างสถาบันฯ หาผลประโยชน์ กลุ่มแรกที่มีผู้ต้องหาในสำนวน 3 คน คือ นายสุริยัน พ.ต.ต.ปรากรม และนายจิรวงศ์ แต่ปรากฏว่า พ.ต.ต.ปรากรม และนายสุริยัน ผู้ต้องหาได้เสียชีวิตไประหว่างถูกคุมขัง ทั้งนี้ แม้ว่าผู้ต้องหาจะได้กระทำผิดตามกฎหมาย แต่เนื่องจากผู้ต้องหาเสียชีวิต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 อนุ 1 ระบุว่า คดีอาญาย่อมระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำผิด ทำให้คดีนี้เหลือผู้ต้องหาเพียง 1 ราย ที่พนักสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้อง คือ นายจิรวงศ์ ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นสำนวนที่กองบังคับการปราบปรามได้รับแจ้งความเอาไว้ และส่งมาให้ตนเป็นผู้ควบคุมการสอบสวนจึงต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า จากประสบการณ์ของตนมั่นใจว่าพยานหลักฐานในสำนวนดังกล่าวมีความแน่นหนารัดกุมสามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ เพราะพนักงานสอบสวนได้พยานหลักฐานมาเกือบเต็มร้อย หลังจากนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาระดับ ตร. ที่จะต้องพิจารณาสั่งการต่อไป ทำให้ขณะนี้เหลือสำนวนคดีเดิมที่ตนรับผิดชอบอีก 12 คดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความผิดตาม ม.112 เช่นกัน แต่มาร้องทุกข์ต่างกรรมต่างวาระกัน ซึ่งตนเพิ่งได้รับคำสั่งให้ควบคุมการสอบสวนต่อในวันนี้ ขณะที่อีก 3 สำนวนล่าสุดนั้นยังไม่ได้มีการส่งมอบอำนาจในการสอบสวนมาให้ชุดของตนเข้ามารับผิดชอบ
“สำหรับอีก 12 สำนวนที่เหลือ คาดว่า ไม่เกินสิ้นเดือนก็จะสามารถส่งให้กองคดีอาญา ตรวจสอบได้ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐานทางด้านเทคนิคต่าง ๆ เช่น วิทยุ ปืน รถ เศษผม เศษขน ซึ่งทางกองปราบดำเนินการไปแล้ว หากเสร็จสิ้นก็สามารถส่งสำนวนได้ โดยคดีนี้ถือเป็นการโอนสำนวนมาให้ผมรับผิดชอบ ปกติรอง ผบ.ตร. ไม่มีอำนาจอะไร ทำตามที่ ผบ.ตร. สั่ง ไปเปิดระเบียบกฎหมายดูได้ รับผิดชอบเป็นเรื่อง ๆ ตามที่เจ้านายสั่งมาเท่านั้น” รรท.รอง ผบ.ตร. ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามถึงการดำเนินการกับตำรวจ 8 นายสังกัด บช.ก. ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ตนยังไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อถามถึงความผิดกรณีการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ และไม่อยากแสดงความคิดเห็นเชิงคาดเดา เนื่องจากจะเป็นการไม่เหมาะสม โดยตามขั้นตอนนั้นหากจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการตามความผิดอาญาจะต้องมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางตำรวจไปตามขั้นตอน ไม่สามารถจะใช้คำพูดจากปาก หรือความรู้สึกมาดำเนินการได้ เพราะคำพูดไม่ใช่หลักฐาน คำให้สัมภาษณ์เป็นเพียงความรู้สึกไม่เพียงพอรับฟังได้
เมื่อถามว่าคดีลักษณะนี้ส่วนใหญ่ใครเป็นเสียหายได้บ้าง รรท. รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ส่วนใหญ่จะเป็นกองทัพ และเป็นผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ ถามต่อว่า แล้วประชาชนทั่วไปฟ้องร้องได้หรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ก็สามารถเข้ามาฟ้องร้องได้แต่ต้องมีพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิดก็มาร้องทุกข์ได้ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินใครก็ร้องทุกข์ได้ แต่ร้องทุกข์แล้วพนักงานสอบสวนจะรับเป็นคดีหรือไม่ก็ต้องดูที่พยานหลักฐาน จะใช้คำสัมภาษณ์ของบุคคลมาอ้างใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ แต่หากมีผู้แจ้งความร้องทุกข์เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องสอบสวนพฤติการณ์ในการกระทำผิดของผู้ที่ถูกฟ้องตามขั้นตอน
ถามถึงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ที่ขณะนี้พบความผิดแน่ชัดว่ามีการหักหัวคิวกันจริง และได้บริจาคเงินส่วนนี้ไปแล้วจะถือว่าความผิดสำเร็จหรือยัง พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็น เพราะขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายมีเยอะ ต้องพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ตอนนี้ยังไม่เห็นเรื่อง ไม่เห็นหลักฐานจะให้เดาคงไม่เหมาะสม
เมื่อถามว่า ตำรวจจะเข้าไปตรวจสอบหลักฐานจากผู้เกี่ยวข้องมาหรือไม่ รรท. รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องมีคำสั่งให้เข้าไปดำเนินการ ตอนนี้ยังห่างอยู่
ถามย้ำว่า แม้จะเป็นคำพูดของอดีต ผบ.ทบ. และบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรีที่พูดเหมือนยอมรับว่ามีการทุจริตสามารถฟังได้หรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า คำพูดไม่ใช่หลักฐาน เพราะการให้สัมภาษณ์เป็นการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก ไม่ถือเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่ เอกสาร วัตถุ และบุคคล
ถามต่อไปว่า ขณะนี้ ผบ.ทบ. ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์แล้ว หากพบความผิดสามารถมาร้องทุกข์ได้หรือไม่ รรท. รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า หากทางกองทัพเข้ามาร้องทุกข์ตนก็ยินดีรับเรื่องอยู่แล้ว ถามถึงอีก 3 สำนวนคดีที่เหลือว่ามี พ.อ.คชาชาต บุญดี หรือเสธ.โจ้ รวมอยู่ด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า น่าจะอยู่ใน 3 สำนวนใหม่ดังกล่าว ซักว่ามีทหารคนอื่นอีกหรือไม่ รรท. รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียด
ด้าน พ.ต.อ.มนัส ศิกษมัต รรท.ผบก.กองคดีอาญา กล่าวว่า จากนี้ทางกองคดีฯ คงใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งต้องตรวจสอบให้ละเอียดและรอบคอบ และจะส่งต่อให้คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มี พล.ต.อ.สุเทพ เดชรักษา (สบ 10) ด้านกฎหมายและสอบสวนเป็นประธาน ก่อนจะส่งให้พนักงานอัยการต่อไป อย่างไรก็ตาม หากมีประเด็นที่กองคดีฯ หรือคณะกรรมการเห็นควรต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมก็อาจจะส่งกลับให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้งได้