ASTVผู้จัดการ - ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องอดีตตำรวจเสื้อแดงอุกอาจยิงจรวดอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหม ช่วง นปช.ชุมนุมเดือนมีนาคมปี 53 ชี้พยานหลักฐานยังไม่ชัดเจน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ขณะตัวจำเลยไม่มาศาล ผิดนัดฟังคำพิพากษาเป็นครั้งที่ 2
วันนี้ (20 ต.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ที่ อ.2317/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อายุ 48 ปี อดีตตำรวจ สภ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดฐานก่อการร้าย, ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินผู้อื่น, ร่วมกันพยายามทำร้ายร่างกายจนเป็นให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันยิงปืนโดยใช้ดินระเบิดในที่ชุมนุม, ร่วมกันมีเครื่องยิงระเบิดไว้ในครอบครอง ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้, ร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้, ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 221, 222, 258, 265, 295, 358, 371, 376 ประกอบมาตรา 80 และ 83 และพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดไปในเมือง ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ. 2490
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2553 จำเลยกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันใช้เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 เล็งและยิงลูกระเบิดไปยังอาคารกระทรวงกลาโหม เขตพระนคร ทำให้นายศักดิ์ หาญสงคราม ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ สายเคเบิลโทรศัพท์ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เสียหายเป็นเงินจำนวน 39,421 บาท จำเลยกับพวกมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญ บังคับ รัฐบาลไทยให้ยุบสภา ทั้งยังสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือการก่อการร้ายของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำเลยมีเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี 2 จำนวน 1 กระบอก ลูกระเบิดแบบสังหาร เอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก ปืนกลมือ (เอ็ม 3) ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก และกระสุนปืน .45 จำนวน 48 นัดเหตุเกิดที่แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงพระนคร เขตพระนคร แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. เกี่ยวพันกัน
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2554 ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม รวมจำคุกทั้งสิ้น 38 ปี และให้ริบของกลาง ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้พยานโจทก์หลายปากซึ่งเห็นคนร้ายในช่วงเวลาต่างกัน เบิกความถึงสาระสำคัญตำแหน่งที่นั่งของคนร้ายไม่ตรงกัน พยานบางรายระบุเห็นจำเลยเป็นคนขับ แต่พยานบางรายระบุว่าจำเลยนั่งข้างคนขับ และพยานบางคนระบุว่าจำเลยใส่หมวกแก๊ป ขณะที่พยานบางคนบอกว่าไม่ได้ใส่หมวก ขัดแย้งกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน จึงยังไม่แน่ใจใช่จำเลยหรือไม่ที่นั่งอยู่ในรถคันดังกล่าว อีกทั้งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลากลางคืนแสงไฟมีน้อย นอกจากนี้ แม้ว่าผลตรวจลายนิ้วมือแฝงจะพบว่ามีสารพันธุกรรมจำเลยปะปนอยู่ แต่ก็มีของบุคคลอื่นรวมอยู่ด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างฎีกา ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขณะที่ภายหลังจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ส.ต.ต.บัณฑิต จำเลยไม่มาศาลและถูกศาลออกหมายจับเพื่อมาฟังคำพิพากษาก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากมีพฤติการณ์จงใจหลบหนี จึงมีเพียงนายประกันที่ถูกปรับและยึดเงินประกัน 1 ล้านบาทเดินทางมาศาล โดยนายประกันแถลงต่อศาลว่ายังไม่สามารถติดตามจำเลยได้
ทั้งนี้ ศาลเห็นว่าครบกำหนดระยะเวลา 1 เดือนที่ออกหมายจับแล้วแต่ยังไม่มีตัวจำเลย จึงให้อ่านคำพิพากษาทันที โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า จากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้ง 4 ปาก แสดงให้เห็นว่าพยานเห็นคนร้ายในเวลากลางคืนแม้จะมีแสงสว่างแต่ก็ยังเป็นข้อจำกัดในการมองเห็นและเป็นการพบคนร้ายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่น่าจะมองเห็นชัดเจนและจำหน้าคนร้ายได้แม่นยำ อีกทั้งพยานโจทก์ที่เห็นคนร้ายก็ได้รู้เห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญซึ่งต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง ส่วนรถยนต์ของกลางที่โจทก์นำสืบว่ามีการซื้อขายต่อๆกันมา จนกระทั่งมาอยู่ในความครองของจำเลย พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจน เพราะขั้นตอนการซื้อขายใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าผลการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยตรงกับดีเอ็นเอที่เจ้าหน้าที่ตรวจเก็บได้จากเสื้อแจ็กเกตสีดำ ของกลางที่ยึดได้จากภายในรถยนต์คันดังกล่าวนั้น จากรายงานผลการตรวจดีเอ็นเอ เป็นการตรวจหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 2 เดือน ขัดแย้งกับผลการตรวจของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ที่ตรวจหลังเกิดเหตุทันทีและไม่พบดีเอ็นเอของจำเลยพยานโจทก์และพยานแวดล้อมขัดแย้งกันมีเหตุให้สงสัยและยังมีพิรุธอีกทั้งจำเลยให้การปฏิเสธมาตลอด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์