xs
xsm
sm
md
lg

“สมยศ” ยันมีหลักฐานมัดตัว “อาเดม คาราดัก” บึ้มราชประสงค์ มั่นใจไม่ใช่แพะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (แฟ้มภาพ)
 
ผบ.ตร.ยืนยันตำรวจมีหลักฐานมัดตัว “อาเดม คาราดัก” วางระเบิดแยกราชประสงค์ เตรียมพิจารณาแจ้งข้อหาเพิ่ม มั่นใจไม่ใช่แพะแน่นอน ส่วนการรับสารภาพเป็นชายเสื้อเหลืองของ “อาเดม” ต้องถามพนักงานสอบสวน เหตุตนได้รับข้อมูลหลังจากไปสอบปากคำพบมีการเปลี่ยนแปลงคำให้การ




วันนี้ (25 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร หลังจากเมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ไปสอบปากคำนายอาเดม คาราดัก หรือนายบิลาเติร์ก มูฮัมหมัด ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ที่พูลอนันต์ อพาร์ตเมนต์ ย่านหนองจอก เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา และนายเมียไรลี ยูซูฟู ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.สระแก้ว เพิ่มเติมที่มณฑลทหารบกที่ 11 ว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 รายให้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่ใช้ยันจนทำให้ผู้ต้องหาทั้งสองยอมจำนนต่อพยานหลักฐาน โดยเฉพาะนายอาเดมที่ทางเจ้าหน้าที่มีหลักฐานสำคัญหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือหลักฐานเป็นภาพหน้าห้องน้ำที่สวนลุมพินี ที่ปรากฏชายเสื้อเทาที่เชื่อว่าเป็นนายอาเดม โดยในส่วนนี้ตนคิดว่าคงไม่ต้องชี้แจงรายละเอียดแล้ว เพราะจากที่สื่อมวลชนนำเสนอก็น่าจะชัดเจนแล้ว แต่หลักฐานชิ้นดังกล่าวก็ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพียงหลักฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ ตนไม่สามารถยืนยันว่าชายเสื้อเหลืองที่ก่อเหตุ กับชายเสื้อเทาในภาพเป็นคนเดียวกันจนกว่าจะมีหลักฐานอื่นๆ มาประกอบและชี้ชัดด้วยตัวพยานหลักฐานเอง ในส่วนการสอบปากคำนายยูซูฟูนั้นให้การเป็นประโยชน์ในคดีมาก แต่รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ตำรวจมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะเพิ่มข้อหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ ก่อนต่อนายบิลาเติร์ก หรืออาเดม หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบได้ ตอบได้เพียงว่าส่วนตัวตนมั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่สามารถมัดตัวนายบิลาเติร์กได้ในเรื่องทำความผิดได้ หากทุกอย่างเป็นจริงตามข้อมูลที่สื่อมวลชนได้รับและเผยแพร่นั้น ตนก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น อีกทั้งจากการค้นห้องพักนายบิลาเติร์กเมื่อวันที่ 29 ส.ค.นั้น พบเสื้อสีเทาที่อยู่ในรูปวงจรปิดด้วย ในส่วนที่นายบิลาเติร์กรับสารภาพว่าเป็นชายเสื้อเหลืองหรือไม่นั้น ต้องถามทางพนักงานสอบสวน ตนได้รับข้อมูลเพียงว่าหลังจากไปสอบปากคำพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำให้การ

“ผมตอบได้เพียงว่า คำให้การ หรือคำรับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวนนั้น ศาลไม่รับฟัง ต้องมีพยานหลักฐานประกอบด้วย และนั่นถือเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของผู้ต้องหาทั่วไปที่จะรับสารภาพในชั้นสอบสวนก่อน แต่กลับเปลี่ยนคำให้การในชั้นศาล โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ข่มขู่ หรือทำร้ายร่างกาย ดังจะเห็นได้ตามข่าวหลายๆ ครั้ง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะยุคนี้หมดยุคที่จะทำอะไรแบบนั้นแล้ว มันล้าสมัย นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้พนักงานสอบสวนต้องทำงานอย่างรอบคอบ หาพยานหลักฐานหลายอย่างเพื่อยืนยันมัดตัว ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด พร้อมทั้งย้ำเสมอว่าอย่าเชื่อคำให้การจนกว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปชี้ที่เกิดเหตุ แล้วมันสอดคล้องกัน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหากสุดท้ายมีการแจ้งข้อหาเพิ่มก็ต้องนำตัวผู้ต้องหาไปชี้จุดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดำเนินการอย่างไร เพื่อตรวจสอบให้ข้อมูลทุกอย่างแน่นหนา และชัดเจน” ผบ.ตร.กล่าว

เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่า นายบิลาเติร์กเป็นคนวางระเบิด พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ตนยืนยันไม่ได้ แต่จากความรู้สึกส่วนตัวที่ตนเห็นภาพจากข่าว เนื่องจากตนยังไม่ได้เห็นจากกล้องวงจรปิดด้วยตัวเองนั้น ยอมรับว่าคล้ายมากซึ่งก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว แต่ในการทำงานนั้นไม่สามารถสรุปได้จนกว่าพนักงานสอบสวนจะมั่นใจ สำหรับสิ่งที่มั่นใจได้คือ ผู้ต้องหาในคดีระเบิดทุกคนที่จับกุมตัวมาแล้ว ไม่ใช่แพะอย่างแน่นอน แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในด้านใด โดยจากประสบการณ์ของตนและทีมงานชุดสืบสวนสอบสวนมั่นใจตั้งแต่วันแรกและวินาทีแรกที่มีการจับกุมนายบิลาเติร์กแล้วว่าน่าจะเป็นผู้วางระเบิด แต่ก็มีกระแสข่าวว่าคนวางหลบหนีไปจุดอื่น เจ้าหน้าที่จึงมีหน้าที่ในการหาข่าวและติดตามเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าหนีไปจริงหรือไม่ จากวันนั้นถึงวันนี้เราจึงมีหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า อุปสรรคในคดีนี้คือพยานรายสำคัญบางคนไม่กล้าให้ข้อมูลที่แท้จริง เนื่องจากมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ทำให้ข้อมูลที่ให้ตำรวจเกิดการบิดเบือน หรือให้ไม่ครบ เพราะเกรงว่าจะถูกตั้งข้อหา อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าการสืบสวนมาถูกทางแล้วตั้งแต่ต้น แต่เมื่อมีกระแสข่าวออกมาหลายทิศทาง เจ้าหน้าที่จึงต้องตรวจสอบข้อสงสัยเหล่านั้นให้กระจ่าง โดยตนก็อยากให้มีข่าวดี และให้คดีจบสิ้นเร็วๆ แต่ทั้งนี้จะช้าหรือเร็วก็ไม่เป็นไร ถึงแม้ตนจะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะเท่านี้ก็สุขใจแล้วว่าที่เราทำมาทั้งหมดไม่ใช่การสุ่ม แต่เป็นการหาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และทางเทคนิคมาประกอบจนทุกอย่างค่อยๆ ชัดเจนเรื่อยๆ และจุดมุ่งหมายคือสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษและดำเนินคดีให้ได้
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น