“สมยศ” เชื่อมือบึ้มยังอยู่ไทย - ไม่ใช่ก่อการร้าย ได้พันล้านซื้อ “ไบโอเมตริกส์” คัดกรองบุคคล

ผบ.ตร. เชื่อคนร้ายวางระเบิดแยกราชประสงค์ยังอยู่ในไทย และไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายที่มักจะประกาศแสดงความรับผิดชอบหลังก่อเหตุ คนกลุ่มนี้ถูกจับตาตลอดเวลา หากเข้ามาในไทย ก็จะได้รับการแจ้งเตือน พร้อมเผยรัฐบาลให้งบหลักพันล้านบาท จัดซื้อเทคโนโลยีไบโอเมตริกส์ ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้จากภาพถ่ายแม้ปลอมตัวมา เพื่อป้องกันเหตุในอนาคต

วันนี้ (17 ส.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. เรียกชุดสืบสวนคลี่คลายคดีเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ ของกองบังคับการปราบปรามเพื่อวางแนวทางการสืบสวนเร่งรัดคดี

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ในวันนี้ได้เดินทางมาเพื่อเร่งรัดชุดทำงาน ในส่วนของกองบังคับการปราบปรามเพื่อคลี่คลายคดี ติดตามความคืบหน้าที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของกองบังคับการปราบปราม จะทำงานควบคู่กับทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยกองปราบปรามดูในเรื่องของเทคนิค เช่น การไล่กล้องซีซีทีวี ในการติดตามคนร้าย ตลอดทั้งเส้นทาง ขณะเดียวกัน ได้วางแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้ทางชุดคลี่คลายคดี

ในส่วนของประเด็นที่ว่าการก่อเหตุครั้งนี้เป็นการก่อการร้ายหรือไม่นั้น ยืนยันได้ว่า ไม่ใช่เป็นการก่อการร้าย หรือการก่อการร้ายสากล เนื่องจากการก่อการร้ายนั้น โดยปกติกลุ่ม หรือขบวนการจะมีการประกาศเจตนารมณ์ และแสดงความรับผิดชอบทันทีที่เกิดเหตุ จะเห็นได้จากการก่อการร้ายที่ประเทศอียิปต์ เป็นต้น แต่บางครั้งการก่อเหตุอาจจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางความคิด ความคลุ้มคลั่งในเรื่องแนวคิดความเชื่อทางศาสนา แต่ไม่ใช่การก่อการร้าย แต่กลุ่มที่ก่อเหตุเป็นชาวต่างชาติ ทั้งนี้ สาเหตุในการก่อเหตุครั้งนี้เป็นอย่างไรนั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า โดยปกตินั้นการก่อการร้ายนั้น ตามหลักสากลของทั่วโลก ขบวนการก่อการร้ายทางหน่วยข่าวกรองจะมีรายชื่อ อย่างเช่น กลุ่มไอเอส กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กลุ่มมูจาฮีดีน กลุ่มอัลกออิดะห์ เป็นต้น หากปรากฏตัวที่ไหนจะมีการแจ้งข่าวเตือน รวมทั้งจับตาความเคลื่อนไหวตลอดเวลา หากกลุ่มคนร้ายเดินทางเข้าไปประเทศไหน หรือเดินทางออกไปประเทศใดก็จะมีการแจ้งเตือนไปยังประเทศนั้น ซึ่งเป็นความร่วมมือตามหลักสากล ตามที่ตกลงกันไว้ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุยังคงอยู่ในประเทศ

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเดินทางเข้าออกประเทศ ทั้งชาวไทยและต่างชาตินั้น ที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีขั้นตอนแค่ตรวจหนังสือเดินทาง ว่า มีชื่อสกุล เลขหนังสือเดินทาง ตรงกับที่มีแบล๊กลิสต์หรือไม่เท่านั้น อย่างเช่น กรณีของนักร้องหนุ่ม ฮาเวิร์ด หวัง ก็เป็นบุคคลที่ถูกแบล็กลิสต์กับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่เปลี่ยนชื่อในหนังสือเดินทาง ก็เข้าประเทศได้ ทั้งที่มีชื่ออยู่ในบุคคลต้องห้าม ซึ่งหลังจากนี้จะมีการวางมาตรการในการคัดกรองบุคคลเข้า - ออก โดยการนำเทคโนโลยีที่ชื่อว่า ไบโอเมตริกส์ (biometrics) ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถช่วยให้การระบุตัวบุคคลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยีไบโอเมตริกส์สามารถแบ่งระบุลักษณะทางกายภาพ จากการวางนิ้วมือลงยังเครื่องอ่านลายนิ้วมือ ก็จะปรากฏใบหน้า หรือหากก่อเหตุก็จะมีการสแกนใบหน้าตามข้อมูลที่เคยถ่ายภาพใบหน้าไว้ รวมทั้งเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถระบุลักษณะทางพฤติกรรมในตัวบุคคล

อย่างไรก็ตาม ไบโอเมตริกส์ได้ถูกนำไปใช้ร่วมกับระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบที่ต้องการความปลอดภัยมาก ๆ เช่น การควบคุมการผ่านเข้าออกพื้นที่พิเศษ, ระบบรักษาความปลอดภัยตามสนามบิน เป็นต้น ซึ่งหากคนร้ายมีการปลอมตัวก็เทคโนโลยีตัวนี้ ก็สามารถที่จะขึ้นใบหน้าที่แท้จริงได้ ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ซึ่งทางรัฐบาลได้ให้งบประมาณมูลค่านับพันล้านในการจัดซื้อเทคโนโลยีดังกล่าว เพื่อป้องกันเหตุในอนาคต