ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 20 ปี อดีตตำรวจประชาชื่นปืนโหด จับพ่อค้าซีดียิงทหารดับ ชี้มีเจตนาฆ่าแต่ไมได้ไตร่ตรองไว้ก่อน ด้านญาติผู้ตายเล็งปรึกษาสภาทนายความให้ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย
ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (9 ก.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ในคดีหมายเลขดำที่ อ.531/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา และ ส.อ.หญิง นกแก้ว ประสมศรี สังกัดกรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ภรรยาของ ส.ต.ชัยวุฒิ ประสมศรี สารวัตรทหาร อายุ 32 ปี (สห.) สังกัดกรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด (ขณะนั้น) ซึ่งถูกจำเลยที่ 1 ยิงเสียชีวิต และครอบครัวรวม 4 คน ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ต.อ.ประสาท จันทิมา อายุ 37 ปี อดีต ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม ช่วยราชการฝ่ายสืบสวน สน.ประชาชื่น จำเลยที่ 1 จ.ส.ต.ปวริศร์ จองพิทักษ์พงศ์ ฝ่ายสืบสวน สน.ประชาชื่น จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน
โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2552 สรุปว่าเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2551 เวลา 17.00 น. จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใช้ปืนพกสั้นยิง ส.ต.ชัยวุฒิ โดยเจตนาฆ่าไตร่ตรองไว้ก่อนจนถึงแก่ความตายเนื่องจากจำเลยทั้งสองโกรธเคืองที่ผู้ตายเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับการจับกุมพ่อค้าซีดี เพราะผู้ตายเข้าใจว่าพวกจำเลยไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และเกิดโต้เถียงกันจนจำเลยทั้งสองไม่พอใจใช้อาวุธยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเจตนาฆ่าโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย เหตุเกิดที่แขวงและเขตจตุจักร กรุงเทพฯ จำเลยให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 289 (4) ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และป้องกันตัวตามข้อกล่าวอ้างจำเลยที่ 1 และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อมา ส.ต.อ.ประสาท จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์สู้คดี ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานโจทก์จำนวน 4 ปากเบิกความสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกัน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธยิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งคร่อมจักรยานยนต์ โดยอาวุธปืนของผู้ตายยังอยู่ในซองและเหน็บอยู่เอวของผู้ตายขณะถูกยิง ผู้ตายไม่ได้ชักปืนชี้ไปยังจำเลยที่ 1 หรืออยู่ในสภาพที่พร้อมยิงต่อสู้ตามที่จำเลยที่ 1 เบิกความไว้ และวัตถุพยานไม่พบกระสุนปืนอยู่รังเพลิง รวมถึงปืนยังไม่ได้ขึ้นลำในสภาพพร้อมยิง ส่วนข้อเท็จจริงจากบาดแผลพบว่าผู้ตายถูกยิงขณะนั่งคร่อมจักรยานยนต์อยู่ แนววิถีกระสุนยิงจากบนลงล่าง นอกจากนี้ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ยังขัดแย้งกับคำให้การในชั้นสอบสวน จึงมีพิรุธน่าสงสัย แต่การที่จำเลยที่ 1 ขึ้นลำปืนไว้ก่อนเรียกให้ผู้ตายหยุดและยิงผู้ตาย เนื่องจากอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ให้ถือว่าเป็นเหตุเร่งด่วนเฉพาะหน้า จึงพิพากษาแก้ให้ลดโทษจำเลยที่ 1 เหลือจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แต่จำเลยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน และให้ริบของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
ต่อมาภรรยาและครอบครัวซึ่งเป็นโจทก์ร่วม ฎีกาประเด็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเจตนาฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนจำเลยที่ 1 ฎีกาสู้ประเด็นว่าเป็นการกระทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายขอให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาประชุมตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการเจตนาฆ่าผู้อื่นให้เสียชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้เตรียมการหรือไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ส.อ.หญิง นกแก้ว ภรรยาผู้ตาย พร้อมครอบครัวและนายทหารพระธรรมนูญประมาณ 10 คน ได้เข้าร่วมฟังคำพิพากษา โดยภายหลังทราบผลคำพิพากษา ส.อ.หญิง นกแก้ว ภรรยาผู้ตาย กล่าวว่า ส่วนตัวก็ยังไม่ค่อยพอใจกับผลคำพิพากษา แต่เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วก็ต้องยอมรับ และนับว่าโชคดีที่คนร้ายยังคงถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ โดยทราบว่าติดคุกมาแล้ว 7 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากจำเลยแต่อย่างใด หลังจากนี้คงต้องขอคำปรึกษากับสภาทนายความเพื่อจะยื่นฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายต่อไป แต่จะฟ้องเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้นจะให้เจ้าหน้าที่ทหารพระธรรมนูญคำนวณให้ตามความเป็นจริงอีกครั้ง