“อัยการสูงสุด” มีคำสั่งฟ้อง 164 ผู้ต้องหาแชร์ลูกโซ่ยูฟัน ฉ้อโกงประชาชน รวม 20 กระทง โดยยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลก่อน 13 ราย พร้อมนัดเบิกตัวจำเลยมาสอบคำให้การจันทร์นี้
เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ (3 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก พนักงานอัยการสำนักงานอัยการคดีอาญา 9 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 1. นายอภิชรัชฏ์ แสนกล้า อายุ 40 ปี 2. นายรัฐวิชญ์ ฐิติอรุณวัฒน์ อายุ 34 ปี 3. นายไชธร ทองหล่อเลิศ อายุ 41 ปี 4. ว่าที่ร้อยตรีฤทธิเดช วรงค์ อายุ 39 ปี 5. น.ส.มนพรรณ์ ธาราบัณฑิต อายุ 41 ปี 6. น.ส.พีรญา หาญพรม อายุ 26 ปี 7. นายโชติพัฒน์ วุฒิพันธุ์โภคิน อายุ 38 ปี 8. น.ส.นิภาพร ละมี อายุ 36 ปี 9. นายธีรวัจน์ พัชรสุยะใหญ่ อายุ 21 ปี 10. น.ส.ณัฎฐ์วรัญช์ อุตมะแก้ว อายุ 24 ปี 11. นายบุน เกียทชู หรือนายชัยสงค์ วนัสบดีวงศ์ อายุ 36 ปี 12. นายเควิน ลัย อายุ 48 ปี 13. นายหยาง หยวนเฉา กับพวกรวม 13 คน ในความผิดตาม พ.ร.บ ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมอาชญากรข้ามชาติ พ.ร.บ. ขายตรง และตลาดแบบตรง พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและกฎหมายอาญา ฐานฉ้อโกงประชาชน รวม 20 กระทง และท้ายฟ้องขอให้จำเลยร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหาย 2,451 คน รวม 351,556,314 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า บริษัท ยูฟัน สโตร์ มีนายลีโอออง กับพวก สัญชาติมาเลเซียที่ยังหลบหนี เป็นกรรมการบริหารบริษัท ซึ่งตั้งอยู่ย่านแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. และได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประกอบธุรกิจขายตรง เมื่อปี 2557 โดยกำหนดวิธีดำเนินการ ราคาขายปลีก ชื่อและชนิดสินค้า รวม 3 ยี่ห้อ โดยมีการจ่ายผลตอบแทนแก่สมาชิก หลายช่องทาง อาทิ กำไรจากยอดขาย โบนัส เป็นต้น ส่วนบริษัท ยูฟัน พร็อพโพรตี้ กับอีกสองบริษัท ก็เป็นบริษัทอยู่ในเครือบริษัทของยูฟัน สโตร์
เมื่อวันนี่ 25 ต.ค. 2556 - 8 เม.ย. 2558 จำเลยทั้ง 13 กับพวกที่ยังไม่ได้ฟ้อง ได้ร่วมกันขอจดทะเบียนบริษัทยูฟัน สโตร์ และบริษัทในเครือ เพื่อร่วมกันกระทำความผิดในเขตประเทศ มาเลเซีย และออสเตรเลีย โดยมีการวางแผนที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อกระทำความผิดในกฎหมายไทย และออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ให้กระทำความผิดเกี่ยวกับการขายตรง กฎหมายคอมพิวเตอร์ ร่วมกันฉ้อโกงคนไทยและกู้ยืมเงิน มีส่วนร่วมในการจัดการ ช่วยเหลือในการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งคดีดังกล่าวมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป ทั้งนี้พวกจำเลยได้แสดงหาผลประโยชน์ทางการเงิน ทรัพย์สิน โดยกระทำในเขตแดนของรัฐมากกว่าหนึ่งรัฐ
เมื่อบริษัท ยูฟัน ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรงในประเทศไทย พวกจำเลยได้ร่วมชักชวนบุคคลเข้าร่วมในเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ โดยตกลงว่าจะให้ผลตอบแทน จากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่าย ที่คำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมที่เพิ่มขึ้นและร่วมกันประกอบธุรกิจ โดยไม่เป็นตามแผนการจัดการจำหน่าย และไม่เป็นไปตามแบบแผนที่ได้จดทะเบียนไว้ โดยพวกจำเลยได้เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลเป็นเท็จ ด้วยการเสนอขายหน่วยลงทุน ผ่านระบบออนไลน์ ชื่อยูโทเคน โดยแอบอ้างว่า ค่าหน่วยลงทุนยูโทเคน จะมีราคาสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เมื่อลงทุนในยูโทเคนและเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น เพราะความจริงแล้วพวกจำเลยไม่ได้ขอจดทะเบียนขาย หน่วยการลงทุนที่ชื่อ ยูโทเคน แต่อย่างใด และจำเลยยังกำหนดราคาหน่วยลงทุนยูโทเคนให้สูงขึ้นเอง ไม่ได้เกิดจากความต้องการของตลาดแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังได้ร่วมกันกู้ยืมและฉ้อโกงประชาชนหลายครั้ง โดยหลอกว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่าย
พฤติการณ์ของจำเลยมีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยเป็นผู้บริหาร เป็นพนักงาน เป็นแม่ข่ายหาสมาชิก เป็นผู้ชักชวนจูงใจ ให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิก โดยมีเจตนาหลอกลวงด้วยการโฆษณา ประกาศทางคอมพิวเตอร์ สื่อสิ่งพิมพ์ มีการจัดบรรยายหลอกลวงตามโรงแรมใหญ่ๆ ในกรุงเทพ และจังหวัดต่างๆ และในต่างประเทศ ให้ประชาชนรวมกลุ่มกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ได้สร้างการประกาศหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมี นางสำราญ วันสุนทะ กับพวกรวม 2,451 คน ตามบัญชีที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องนี้เป็นผู้เสียหายจากจำเลยทั้ง 13 นอกจากนี้จำเลยซึ่งไม่ใช่สถาบันการเงินตามกฎหมาย ยังได้หลอกลวงประชาชนว่า บริษัท ยูฟัน สโตร์ ยังมีหน่วยลงทุนอีก คือ 1. โครงการสตาร์แพกเกจ 2. โครงการรีจีสเทรชั่น โดยผู้ลงทุนจะได้โบนัสและส่วนลด เพื่อไปซื้อหน่วยลงทุนยูโทเคนซ้ำซ้อนอีก และแบ่งเกรดการลงทุนเป็น 5 ระดับ คือ 1 ดาว ถึง 5 ดาว มูลค่า 17,500-1,750,000 บาท ซึ่งมีวิธีการให้ลูกค้าเก่าไปชวนลูกค้าใหม่ โดยรายเก่าจะได้ผลตอบแทน 12% และผลตอบแทนอื่นๆ จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของหน่วยยูโทเคน ลงทุนมากได้มาก ลงทุนน้อยก็ได้น้อย สูงสุดถึง 410,000 บาทต่อปี เป็นอย่างต่ำ หรือเป็นร้อยละ 2,520 บาทต่อปี ซึ่งสูงกว่าของสถาบันการเงินตามกฎหมายที่จะจ่ายได้ในประเทศ ทั้งที่ความจริงจำเลยทั้ง 13 มิได้ลงทุนในกิจการใดๆ ที่ให้ผลตอบแทนเลย ซ้ำค่าหน่วยลงทุนยูโทเคนก็ไม่ได้สูงขึ้น แต่พวกจำเลยได้อุปโลกน์ขึ้นมาเองทั้งหมดเป็นเพียงอุบายหลอกลวง อำพรางกิจการซึ่งล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น สร้างความเสียหายแก่ประชาชนทั้งสิ้น 351,556,314 บาท
ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 13 คนให้การปฏิเสธ จำเลยทั้งหมดถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ ท้ายคำฟ้องโจทก์ ขอให้จำเลยทั้ง 13 คน ร่วมกันคืนตัวเงินที่กู้ยืม และฉ้อโกงให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 2,451 คน ตามจำนวนที่ถูกฉ้อโกงและกู้ยืมไป เป็นจำนวนเงิน 351,556,314 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี
ทั้งนี้ ศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ ที่ อ.2279/2558 และนัดเบิกตัวจำเลยมาสอบคำให้การวันที่ 6 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
ด้านนายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวว่า วันนี้อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด 164 ราย โดยวันนี้ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาแล้ว 13 คน มีทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ และยังขอให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่ประชาชน หลังจากนี้อัยการจากสำนักงานคดีอาญา สำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากรจะเป็นคณะทำงานโดยมีอธิบดีอัยการเป็นหัวหน้าคณะรับผิดชอบการดำเนินคดีในศาล และจะยื่นฟ้องผู้ต้องหาอีก 17 คนต่อไป ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่อีก 134 ราย ประกอบด้วยบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล อัยการสูงสุดจะแจ้งให้พนักงานสอบสวนเอาตัวมาดำเนินคดีต่อไป