สน.พระอาทิตย์
ไฮไลต์สำคัญคงต้องจับตาไปที่ “จ.โจ๊ก” พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.สปพ.(191) เป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ก็คาดการณ์กันว่าน่าจะได้ติดยศ พล.ต.ต.ในการแต่งตั้งครั้งนี้แล้ว ยิ่ง มติ ก.ตร.ที่ยังทอดเวลาให้ใช้สิทธิทวีคูณชายแดนใต้ในการแต่งตั้งตำแหน่งสูงขึ้นอีก ก็ดูจะเข้าทางสอดรับ เหมือนอุ้มสม “จ.โจ๊ก” ให้ก้าวขึ้นบันไดแบบก้าวกระโดดเป็นรายสุดท้าย!!
ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการคืนสิทธินับระยะเวลาการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แบบทวีคูณให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ตามคำสั่งศาลปกครองกลาง หลังจากมีคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่ไม่คัดเลือกแต่งตั้ง พล.ต.ต.ศรีวราห์ รอง ผบช.ภ.1 ดำรงตำแหน่ง ผบช.ภ.1 (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) และให้คืนสิทธิการนับระยะเวลาการปฏิบัติงานเป็นทวีคูณ เพราะมติ ก.ตร.ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร.วันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ให้ยกเลิกมติ ก.ตร.ที่เคยกำหนดว่ากรณีที่ศาลปกครองมีคำสั่งใดๆ ให้ ก.ตร.ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องอุทธรณ์ทุกกรณี โดยมีมติใหม่ว่า กรณีที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้ดำเนินการใดๆ ให้นำเรื่องเข้า ก.ตร.เพื่อพิจารณาเป็นกรณีไป เนื่องจากบางเรื่องหากอุทธรณ์จะต้องใช้เวลานาน 2-3 ปี
เป็นมติที่ดูจะสอดรับกับคำสั่งศาลปกครองที่ให้คืนสิทธิทวีคูณ พล.ต.ท.ศรีวราห์ แบบไม่จงใจก็เหมือนจงใจ เพราะเมื่อมติ ก.ตร.เป็นเช่นนั้น นั่นย่อมหมายถึงว่า ก.ตร.อาจจะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองเรื่อง “ศรีวราห์” หรือไม่อุทธรณ์ก็ได้ ซึ่งแนวโน้มน่าจะมีมติ “ไม่อุทธรณ์” คดีต่อศาลปกครองสูงสุด
ยิ่งดูสายสัมพันธ์ระหว่าง พล.ต.ท.ศรีวราห์ กับ พล.อ.ประวิตร ประธาน ก.ตร.ที่เชื่อมโยงมาจาก “ป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.น้องชายพล.อ.ประวิตร แนบแน่นเชื่อมโยงสายใยสายใจมาทาง “พี่เล็ก” พล.ต.อ.อัยยรัช เวสสะโกศล อดีตรอง ผบ.ตร. ทุกอย่างก็เข้าตามสโลแกน...มันจบแล้วครับนาย
ต่อไปอยู่ที่ว่า ก.ตร.จะมีมติเยียวยาดำเนินการตามที่ศาลปกครองมีคำสั่งคืนสิทธิ พล.ต.ท.ศรีวราห์ อย่างไร ซึ่งถ้าตามใจ “ศรีวราห์” และคนใกล้ชิด คงอยากจะโดดค้ำถ่อไปจ่อ รองผบ.ตร. ตามวันทวีคูณที่ได้รับ แต่ถ้าตามความเป็นจริง ตามกฎ ตามระเบียบ แนวโน้มจะขยับอาวุโส พล.ต.ท.ศรีวราห์ ในระดับ ผบช.ขึ้นตามอายุราชการที่ได้รับ และเลื่อนระดับขึ้นเป็น “ผู้ช่วย ผบ.ตร.” แบบอัตโนมัติ น่าจะเหมาะสมลงตัวมากที่สุด
ยกเว้นจะมี “ศรีธนญชัย” อยู่ในวงประชุม ก.ตร.เท่านั้น
อย่างไรก็ดี การนับวันทวีคูณการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำมาพาสชั้นในการแต่งตั้งโยกย้ายจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว หลังจากคณะทำงานทบทวนหลักเกณฑ์การนับระยะเวลาการปฏิบัติงานเป็นทวีคูณของข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มี “บิ๊กยศ ช่อง 7 สี” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง แม่ทัพใหญ่สีกากี เป็นประธานประชุมร่วมกับรอง ผบ.ตร.ด้านบริหาร และผู้บัญชาการทุกหน่วย มีมติ
ไม่นำอายุราชการแบบนับวันทวีคูณมาใช้ในการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น!!
สิทธิทวีคูณตำรวจที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีเพียงเงินเพิ่มพิเศษสู้รบ (พสร.) รวมถึงการนับอายุราชการทวีคูณเท่านั้น แต่การยกเลิกใช้ทวีคูณตำรวจชายแดนใต้เลื่อนตำแหน่ง ต้องรอให้ผ่านความเห็นชอบจาก ก.ตร. และประกาศปรับลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจกันใหม่ ซึ่ง “แม่ทัพใหญ่สีกากี” ยืนยันมติดังกล่าวไม่น่าจะใช้ทันการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจนอกวาระที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ที่ยังคงนำสิทธิทวีคูณมาใช้ในการแต่งตั้งได้อยู่
นั่นหมายถึงว่า ในการแต่งตั้ง “นายพล” นอกฤดู ล็อตสอง แทนตำแหน่งว่างระดับ รองผู้บัญชาการ (รอง ผบช.) - ผู้บังคับการ (ผบก.) ยศ พล.ต.ต.ที่จะมีการประชุม ก.ตร.ในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ การทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายยังใช้สิทธิทวีคูณใต้ได้เช่นเดิม
ตามปฏิทินการแต่งตั้ง “นายพล” นอกฤดูครั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศกำหนดให้หน่วยงานในสังกัดสำนักงาน ผบ.ตร. ส่งบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น และบัญชีข้อมูลคัดเลือกสับเปลี่ยนหมุนเวียน ในวันที่ 18 มิ.ย. และในวันที่ 24 มิ.ย.กองบัญชาการอื่นๆ ต้องส่งบัญชีผู้เหมาะสมเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น และบัญชีข้อมูลคัดเลือกสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ในการแต่งตั้งนอกฤดูระดับรอง ผบช.-ผบก.ครั้งนี้ มีตำแหน่งว่างทั้งหมด 10 ตำแหน่ง แบ่งเป็น รองผบช. 5 ตำแหน่ง คือ รอง ผบช.ก.2 ตำแหน่ง รอง ผบช.ศชต. 1 ตำแหน่ง รอง ผบช.ศ.1 ตำแหน่ง และรอง ผบช.ภ.3 อีก 1 ตำแหน่ง ส่วน ผบก.ว่าง 5 ตำแหน่ง คือ ผบก.รน.ของ พล.ต.ต.บุญสืบไพรเถื่อน ที่ต้องคดีอาญา ผบก.ประจำสง.ผบ.ตร.ที่ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.สปพ.(191) รักษาการ ผบก.สสท.ของ พล.ต.ต.พจน์ วิญญาวงศ์ ที่ลาออกจากราชการ ผบก.ป.ที่ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รอง ผบก.ป.รักษาการ และ ผบก.ปอศ.ที่พ.ต.อ.สรรักษ์ จูสนิท รอง ผบก.ปอศ. รักษาการ
นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายสลับเก้าอี้อีกจำนวนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะมีไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มระดับ ผบก.ที่เคยถูกคำสั่งไปช่วยราชการ ศปก.ตร. จากกรณีปัญหาการค้ามนุษญ์โรฮีนจา การปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่ทั้งคดีอาญา และบ่อนการพนัน สถานบริการ เป็นต้น
ทว่า ไฮไลต์สำคัญคงต้องจับตาไปที่ “จ.โจ๊ก” พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.สปพ.(191) เป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้านี้ก็คาดการณ์กันว่าน่าจะได้ติดยศ พล.ต.ต.ในการแต่งตั้งครั้งนี้แล้ว ยิ่งมติ ก.ตร.ที่ยังทอดเวลาให้ใช้สิทธิทวีคูณชายแดนใต้ในการแต่งตั้งตำแหน่งสูงขึ้นอีกก็ดูจะเข้าทางสอดรับ
เหมือนอุ้มสม “จ.โจ๊ก” ให้ก้าวขึ้นบันไดแบบก้าวกระโดดเป็นรายสุดท้าย!!!
เพราะสังคมแวดวงสีกากี ต่างก็รับรู้ว่า “จ.โจ๊ก” นั่นเป็นนายตำรวจที่ได้รับความใจจาก พล.อ.ประวิตร อย่างมาก ถึงขั้นเคยให้ติดสอยห้อยตามไปอยู่ในห้องประชุม ก.ตร. วาระแต่งตั้งโยกย้ายระดับนายพลในฐานะเลขานุการส่วนตัว แต่การจะดันขึ้นให้เป็น “ผบก.” ติดยศ “นายพล” ตามปกติยังติดขัดไม่ครบเกณฑ์การครองอายุ
แต่หากใช้สิทธิทวีคูณชายแดนใต้ ซึ่ง พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคยดำรงตำแหน่งรอง ผบก.ภ.จ.สงจลา คุมงาน 3 อำเภอที่ประกาศกฎอัยการศึก ทำให้ได้สิทธิทวีคูณ เมื่อการแต่งตั้งนายพลนอกฤดูครั้งนี้ยังเปิดให้ใช้สิทธิได้ ก็ทำให้เลขาฯ ส่วนตัว พล.อ.ประวิตร รายนี้มีอายุราชการการครองตำแหน่งระดับรอง ผบก.ครบตามเกณฑ์ขยับขึ้นเป็น “นายพล” ทันที
ส่วนเก้าอี้ “นายพล” ที่จะได้ ว่ากันว่าน่าจะหนีไม่พ้น “ผบก.สปพ.(191)” หรือ “ผู้การฯ เมืองหลวง”