ป.ป.ส.และดีเอสไอ ร่วมปฏิบัติการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด” รายใหญ่ 4 เครือข่าย ใน 10 จังหวัด อายัดทรัพย์สินแก๊งค้ายาเฉียด 100 ล้าน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (13 มิ.ย.) นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วยนายธำรงค์ ลิ้มชัยกิจ ที่ปรึกษาด้านการปราบปรามยาเสพติด นายสิทธิศักดิ์ กัลยาณประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักปราบปรามยาเสพติด นายสุดชาย ถนอมเกียรติ ผู้อำนวยการส่วนตรวจสอบทรัพย์สิน 1 และ พ.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลยุทธการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด ครั้งที่ 2” ระหว่างวันที่ 12-14 มิ.ย.นี้ โดยมุ่งตัดวงจรการเงิน ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติด 5เครือข่าย พุ่งเป้าเครือข่ายนักค้ายาเสพติดระดับประเทศที่มีผู้ร่วมขบวนการกว่า 25 คน รวมเป้าหมายบุคคลที่จะดำเนินการในครั้งนี้ 32 ราย พร้อมตรวจค้น 34 พื้นที่ ใน 10 จังหวัด เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายนักค้ายาเสพติด รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดอายัดร่วม 91 ล้านบาท พร้อมรายงานสดการปฏิบัติการในพื้นที่ผ่านระบบเครือข่าย 3G ณ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงาน ป.ป.ส.
นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต เลขาธิการ ป.ป.ส.ได้แถลงเปิดยุทธการฯ พร้อมอำนวยการการปฏิบัติตามยุทธการ แก่ชุดปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมายที่ดำเนินการในวันนี้พร้อมกัน 4 เครือข่าย เป้าหมายบุคคลรวม 32 เป้าหมายพื้นที่ 48 พื้นที่ ใน 10 จังหวัด ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี สมุทรสาคร ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด สุรินทร์ บุรีรัมย์ เชียงใหม่ เชียงราย ดังนี้
เครือข่ายที่ 1 เครือข่าย นายเกรียงไกร ดอกไม้ หรือเก่ง เมื่อปี 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.สุโขทัย ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์นายเกรียงไกร และกลุ่มบุคคลในเครือข่าย มีพฤติการณ์ลักลอบนำยาบ้าจากกลุ่มมูเซอในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือด้าน อ.พร้าว และ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย มาจำหน่ายในพื้นที่ตอนในหลายจังหวัด เช่น จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง จ.สุโขทัย โดยมักจะว่าจ้างผู้ลำเลียงให้ใช้รถยนต์ที่หนีไฟแนนซ์มาปลอมแปลงทะเบียน เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด โดยตั้งแต่ปี 2555-2557 พบว่ามีคดีการจับกุมยาเสพติดและคดีอาวุธปืนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.ลำปาง จ.สุโขทัย รวมกว่า 10 คดี ของกลางยาบ้ากว่า 145,000 เม็ด ไอซ์ประมาณ 2.6 กก. ทุกคดีล้วนมีความเกี่ยวข้องกับนายเกรียงไกร เจ้าหน้าที่จึงได้ออกหมายจับและติดตามจับกุมนายเกรียงไกรจนกรทั่งเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา สามารถจับกุมนายเกรียงไกรได้ตามหมายจับในคดีสมคบกันค้ายาเสพติด โดยก่อนหน้านี้สามารถจับกุมนายธีระวุฒิ เอี่ยมชัย พร้อมยาบ้า 12,004 เม็ด ไอซ์ 972 กรัม ไปเมื่อเดือนมกราคม 2557 สำนักงาน ป.ป.ส. จึงได้ตรวจสอบพบว่ายังมีทรัพย์สินของนายเกรียงไกร ที่ได้จากการค้ายาเสพติดซุกซ่อนอยู่ โดยใช้ชื่อบุคคลอื่นถือครองแทน โดยในวันที่ 12 มิ.ย. สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ ตำรวจ ภ.จว.สุโขทัย เข้าปฏิบัติการยึดอายัดอพาร์ตเมนต์ให้เช่า จำนวน 42 ห้อง รถยนต์ 1 คันในพื้นที่ ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ รวมมูลค่ากว่า 12.5 ล้านบาท
เครือข่ายที่ 2 เครือข่าย น.ส.อรวรรณ เห็นสว่าง เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ จับกุมนายศักดิ์ศรีชัย ทองวิจิตร หรือแต และน.ส.อรวรรณ เห็นสว่าง หรือแนน พร้อมของกลางยาบ้า 400 เม็ด จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่าทั้งสองได้ซื้อยาบ้าจากนักค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคตะวันออกจำหน่ายในพื้นที่ จ.สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ โดยมีกลุ่มเครือญาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและอาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเป็นตัวแทนประสานงานให้ หลังจากจำหน่ายยาบ้าได้แล้วผู้จำหน่ายจะสั่งให้โอนเงินค่ายาเสพติดเข้าบัญชีเจ้าของยาบ้าต้นทางที่ จ.เชียงใหม่โดยตรงซึ่งทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบขยายผลเพื่อออกหมายจับต่อไป
ภายหลังการจับกุม น.ส.อรวรรณแล้ว เจ้าหน้าที่ยังคงติดตามพฤติการณ์เครือข่ายโดยยังพบทรัพย์สินของ น.ส.อรวรรณที่ได้จากการค้ายาเสพติดถูกอำพรางโดยใช้ชื่อบุคคลอื่นถือครองแทนในวันนี้ เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับ ตำรวจ ภ.จว.สุรินทร์ เข้าปฏิบัติการยึดอายัดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พร้อมรถยนต์ 3 คันที่ จ.บุรีรัมย์ มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท และในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดอื่นได้เข้าตรวจค้นบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจับผู้ต้องหาได้ 1 ราย พร้อมของกลางยาบ้าจำนวนหนึ่ง
สำหรับเครือข่ายนี้พบว่าต้นทางของยาเสพติดมาจากพื้นที่ชายแดน จ.เชียงใหม่ ลำเลียงไปกระจายให้ลูกค้าในพื้นที่ จ.ชลบุรี จ.ระยอง และใกล้เคียง จากนั้น น.ส.อรวรรณจะติดต่อผ่านเครือข่ายซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อจัดหาและส่งยาเสพติดขึ้นไปยัง จ.สุรินทร์ ใช้เป็นศูนย์กลางเพื่อรอจำหน่ายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เครือข่ายที่ 3 เครือข่ายนายจรูญ ปานทอง เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 58 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สนม จ.สุรินทร์ จับกุมนายสุทัศน์ วิชาดี พร้อมพวกรวม 4 คน พร้อมของกลางยาบ้า 492 เม็ด สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานพบความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการโอนเงินค่ายาเสพติดเข้าบัญชีธนาคารของนายจรูญ ปานทอง ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมแต่นายจรูญ ได้หลบหนีออกจากพื้นที่ จ.สุรินทร์ ไปอาศัยในพื้นที่ กทม. และ จ.สมุทรสาคร ต่อมาศาล จ.สุรินทร์ ได้อนุมัติหมายจับนายจรูญ เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2558 เจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่านายจรูญ ปานทอง ได้หลบหนีมาพักอาศัยกับภรรยา ที่บ้านเลขที่ 45 ม.6 ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และในวันนี้เจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ส.ร่วมกับตำรวจ ภ.จว.สุรินทร์ ได้ทำการเข้าจับกุมนายจรูญ ที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมทั้งตรวจยึดอายัดทรัพย์สิน เป็น บ้านพร้อมที่ดินในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร เงินในบัญชีธนาคาร 7 บัญชี รถยนต์ 2 คัน และรถจยย. รวมมูลค่าประมาณ 11 ล้านบาท
เครือข่ายที่ 4 เครือข่ายนางสาวลาวัลย์ จำเรือง ขณะนี้อยู่ระหว่างการปฏิบัติการภายใต้การกำกับของ พล.ต.ท.ธเนตร์ พิณเมืองงาม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และ พล.ต.ต.ชุมพล ฉันทะจำรัสศิลป์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ระยอง ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมาย โดยเบื้องต้นยึดได้ทรัพย์สินประมาณ 58 ล้านบาท คาดว่าจะได้เพิ่มเติมอีก ซึ่งตำรวจภูธรภาค 2 จะได้แถลงสรุปรายละเอียดต่อไป
นายเพิ่มพงษ์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้สำนักงาน ป.ป.ส.ได้มียุทธการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด ครั้งที่ 1” ไปแล้วเมื่อวันที่ 6-9 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นได้ทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ 8 เครือข่าย เป้าหมายบุคคลรวม 42 ราย พร้อมดำเนินการตรวจค้นที่ 44 พื้นที่ ใน 17 จังหวัด เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายนักค้ายาเสพติด รวมมูลค่าทรัพย์ที่ยึดได้ในครั้งที่ 1 ประมาณ 88 ล้านบาท สำหรับในวันนี้เป็นการเปิดยุทธการฯ ครั้งที่ 2 สามารถจับผู้ต้องหาตามเป้าหมายบุคคลได้ 3 ราย และจับกุมเพิ่มเติมอีก 1 ราย ยึดทรัพย์ทั้ง 4 เครือข่าย รวมมูลค่าประมาณ 91 ล้านบาท ซึ่งในวันพรุ่งนี้ตนจะลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อปฏิบัติการสำคัญที่จะดำเนินการกับเครือข่ายที่ 5 ตามยุทธการฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดระดับประเทศ เครือข่ายใหญ่ที่สำนักงาน ป.ป.ส.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ดำเนินการติดตามพฤติการณ์และขยายผลมานานกว่า 30 ปี ถือเป็นเครือข่ายระดับประเทศที่มีผู้ร่วมขบวนการกว่า 25 คน
นายเพิ่มพงษ์กล่าวต่อว่า สำหรับยุทธการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด” นี้ เป็นการดำเนินการตามกฎหมายตามหลักฐานที่มีหรือสาวไปถึงโดยจะยึดทรัพย์ จับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำลายเครือข่ายและโครงสร้างการค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ภาคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดของประเทศ โดยการใช้อำนาจของกฎหมายตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 (มาตรการสมคบ และอายัดทรัพย์สิน) รวมไปถึงมาตรการตามกฎหมายฟอกเงินเพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่เน้นการปราบปรามนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ ที่ผู้มีบทบาทเป็นนายทุน ผู้สั่งการหรือผู้อยู่เบื้องหลังที่รับผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติดไม่ว่าจะโดยการครอบครองทรัพย์สินต่างๆ ทั้งในชื่อตนเองหรือของบุคคลอื่น รวมไปถึงกระทำการฟอกเงินในลักษณะใดๆ โดยใช้มาตรการริบทรัพย์เป็นสำคัญ เพื่อลิดรอนหรือตัดวงจรทางการเงินของเครือข่ายการค้ายาเสพติด และสำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ เป็นการจับตามอนุมัติของ เลขาธิการ ป.ป.ส. ในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มีโทษเท่าตัวการโดยในคดีนี้มีระวางโทษสูงสุดประหารชีวิต