ผบช.น.แถลงจับกุม 3 คดี คดีแรกตำรวจห้วยขวางจับโจรขโมยรถยนต์คัมรี่ ขับหลบหนีเฉี่ยวชนรถเสียหายอีก 22 คัน ขณะที่ตำรวจหัวหมากจับโจ๋แก๊งซิกโซน ซิ่ง จยย.พยายามปล้นทรัพย์ “ออดี้” นักร้องดัง ส่วนตำรวจโชคชัยรวบช่างทำกุญแจบุกปล้นทรัพย์มัดมือเจ้าของบ้านและลูกชายวัย 11 ขวบ
วันนี้ (11 มิ.ย.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผบช.น. พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สส.น.1 พ.ต.อ.กิตติพงษ์ วิเศษสงวน ผกก.สน.ห้วยขวาง พ.ต.ท.ศาสตรา สุขานุศาสน์ สว.สส.กก.สส.น.1 พ.ต.อ.ศราวุธ จิตต์ระเบียบ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.ชัยรพ จุณณวัตต์ ผกก.สน.โชคชัย เจ้าหน้าที่ตำรวจกก.สส.น.1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก ร่วมแถลงข่าว 3 คดี คดีแรกเจ้าหน้าที่จับกุมนายสรศักดิ์ หมั่นงาม หรือวุฒิ อายุ 24 ปี พร้อมของกลางรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นคัมรี่ สีขาว หมายเลขทะเบียน ฌบ 2149 กทม. แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ ญก 4019 กทม.จำนวน 1 แผ่น จักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน 3กฬ 2516 กทม. จับกุมได้บริเวณถนนเลียบ รฟม.มุ่งหน้าไปยังแยกผังเมือง แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กทม. เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00 น. ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น หรือรับของโจร และพยายามฆ่า
พ.ต.อ.กิตติพงษ์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 02.55 น. มีคนร้ายจำนวน 3 คนก่อเหตุลักเอารถยนต์ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นคัมรี่ สีขาว หมายเลขทะเบียน ฌบ 2149 กทม.ของนายปิยะเทพ พงษ์สมบัติ อายุ 42 ปี ผู้เสียหาย เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว จากบริเวณริมถนนประชาอุทิศ ตรงข้ามเท็นเซาน่า แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม. ผู้เสียหายได้มาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้เสียหายจึงได้ขับขี่จักรยานยนต์ออกจาก สน.ห้วยขวาง มาตามถนนประชาสงเคราะห์ แขวงและเขตดินแดง กทม. มุ่งหน้าไปทางสามแยกตลาดห้วยขวาง พบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นคัมรี่ สีขาว ติดป้ายทะเบียน ญถ 4019 กทม. และกำลังจะเลี้ยวขวามุ่งแยกห้วยขวาง จดจำได้ว่ารถคันดังกล่าวนั้นมีตำหนิไม่มีกระจกด้านซ้ายเหมือนรถคันที่ถูกขโมยจึงได้ขี่จักรยานยนต์ไปดักรอรถคันดังกล่าว บนถนนประชาสงเคราะห์ จากนั้นจึงได้ขี่ไปดักรอข้างหน้า พร้อมกับโทรศัพท์แจ้งตำรวจให้ทราบ จนกระทั่งคนร้ายได้ขับรถยนต์ผ่านมา ผู้เสียหายจึงได้ลงไปยืนบนถนนขวางหน้ารถโบกมือเพื่อให้รถหยุด แต่คนร้ายไม่ยอมหยุดรถกลับเร่งเครื่องยนต์ขับพุ่งเข้าชนผู้เสียหายจนผู้เสียหายกระเด็นติดไปอยู่บนฝากระโปงรถด้านหน้า
พ.ต.อ.กิตติพงษ์กล่าวต่อว่า ผู้เสียหายจึงเกาะฝากระโปรงรถไว้ประมาณ 50 เมตร จนบริเวณหน้าตลาดเกียรติธงชัย ลักษณะส่ายสะบัดไปมาเพื่อให้ผู้เสียหายหลุด จนตกลงมาจากรถแล้วลงมาตะโกนขอความช่วยเหลือให้วินจักรยานยนต์ช่วยเหลือ มีจักรยานยนต์พลเมืองดีขับพาผู้เสียหายติดตามคนร้าย จากนั้นคนร้ายได้ขับรถมุ่งไปตามประชาสงเคราะห์มุ่งหน้าแยกห้วยขวางอย่างเร็ว โดยได้ขับเฉี่ยวชนรถคันอื่นๆ ได้รับความเสียหาย 22 คัน จากนั้นคนร้ายจึงได้ขับรถเลี้ยวหลบหนีมาถึงถนนเลียบ รฟม.มุ่งหน้าไปยังแยกผังเมือง แต่ยางรถยนต์แตกไม่สามารถหลบหนีต่อไปได้ ปรากฏว่าภายในรถมีคนร้ายจำนวน 2 คนได้ลงจากรถและวิ่งหลบหนี แต่พลเมืองดีที่ไล่ติดตามมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ช่วยกันจับกุมตัวคนร้ายได้ 1 คน ทราบชื่อภายหลังการจับ คือ นายสรศักดิ์ หมั่นงาม ส่วนคนร้ายที่นั่งมาด้วยทราบชื่อคือนายโต วิ่งหลบหนีไปได้
จากการสอบถามนายสรศักดิ์ ผู้ต้องหารับสารภาพว่า ในวันเกิดเหตุตนได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนชื่อนายโต (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) ให้มาช่วยขับรถยนต์คัมรี่คันเกิดเหตุ ที่บริเวณตรงข้ามเท็นเซาน่า เนื่องจากนายโตและนายปริญญา จันทร์ทับ หรือเจ อายุ 20 ปี ร่วมก่อเหตุทุบกระจกรถและได้กุญแจรถยนต์คันดังกล่าว ตนจึงได้ขี่จักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน 3กฬ 2516 กทม.มาช่วยขับรถยนต์นำไปจอดซุกซ่อนไว้ที่บริเวณซอยลาดพร้าว 101 เพื่อทำการเปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียน ต่อมาวันที่ 10 มิ.ย. ตนได้รับแจ้งจากนายโตให้มาช่วยขับรถยนต์นำไปให้พี่ชายนายโตย่านห้วยขวาง โดยมีนายโตนั่งคู่กันมาด้วย แต่ปรากฏว่าได้มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมไว้ได้ก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมในคดีลักทรัพย์ท้องที่ สน.หนองจอก และเพิ่งพ้นโทษในคดีดังกล่าวมาได้ประมาณ 1 เดือน
คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก จับกุมนายไชยรบ เอื้อนจิตร อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1188/2558 ลงวันที่ 9 มิ.ย. 2558 พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง อาวุธปืนสั้นไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก และจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้ารุ่นเวฟ สีแดง หมายเลขทะเบียน 1กศ 5312 กทม. โดยจับกุมได้ที่บริเวณใต้แฟลต 2 เคหะร่มเกล้า แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2558 เวลาประมาณ 12.30 น. ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส โดยมีหรือใช้อาวุธปืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม หรือรับของโจร
พ.ต.อ.อรรถพรกล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งมีเหตุวัยรุ่นตั้งแก๊งดักปล้นทรัพย์ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในช่วงเวลากลางคืนย่านถนนนวมินทร์ มีผู้เสียหายจำนวนมาก โดยคดีแรกได้รับแจ้งจากนายสมศักดิ์ วิทยกิจพิพัฒน์ และ น.ส.ชุติมา การิกาญจน์ ผู้เสียหายขี่จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้ารุ่นพีซีเอ็กซ์ ได้ทรัพย์สินเป็นโทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง เงินสด 200 บาท ที่บริเวณปากซอยศรีบูรพา 11 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. ท้องที่ สน.บึงกุ่ม ต่อมาในคืนเดียวกันบริเวณถนนพ่วงศิริ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. ขณะที่นายกฤตเมธ โภคทรัพย์ และนายวีรภัทร พิจารณ์สรรค์ ผู้เสียหาย ขี่จักรยานยนต์ยี่ห้อคาวาซากิรุ่นเคเอสอาร์ สีดำ-ชมพู กลุ่มคนร้ายกลุ่มเดิมได้ลงมือก่อเหตุปล้นทรัพย์อีกครั้งหนึ่ง โดยหนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุได้ถีบรถคันดังกล่าวให้ล้ม จากนั้นกลุ่มคนร้ายที่เหลือได้รุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและปล้นเอาทรัพย์สินก่อนหลบหนีไป ในการปล้นทั้ง 2 ครั้งได้ใช้อาวุธมีด อาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ และอาวุธปืนปากกา .22 เป็นอาวุธไว้ข่มขู่ผู้เสียหาย
พ.ต.อ.อรรถพรกล่าวต่อว่า จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นคนร้ายกลุ่มเดียวกันที่พยายามก่อเหตุร่วมกันปล้นทรัพย์นายพสิษฐ์ ธนชัยบุญรัตน์ หรือออดี้ อายุ 42 ปี นักร้องชื่อดัง เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา บริเวณปากซอยนวมินทร์ 32 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองจั่น เขตบึงกุ่ม กทม. แต่ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด จากการสอบสวนนายไชยรบให้การรับสารภาพว่าเป็นสมาชิกแก๊งซิกโซน และเคยร่วมกับเพื่อนก่อเหตุในลักษณะเดียวกันที่บริเวณวัดบำรุงรื่น แขวงคลองสามประเวศ เขตลาดกระบัง กทม. และที่บริเวณหมู่บ้านปฐวิกรณ์ ถนนเกษตร-นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. นอกจากนี้เคยถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นที่บริเวณพื้นที่ สน.ร่มเกล้าอีกด้วย
ด้านนายพสิษฐ์ หนึ่งในผู้เสียหายกล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ตนขี่รถจักรยานยนต์เวสป้าอยู่ระหว่างซอยนวมินทร์ 28 กับ 30 วันเกิดเหตุตนไปพบเพื่อนคุยเรื่องดนตรี โดยขับขี่จักรยานยนต์ผ่านเส้นทางแยกนวมินทร์เลี้ยวขวาเข้าถนนนวมินทร์ จนกระทั่งถึงทางโค้งซอยนวมินทร์ 23 มีจักรยานยนต์จำนวน 3 คัน คนร้ายประมาณ 7 คนขี่ตามมาประกบ และใช้จังหวะทีเผลอบิดกุญแจดับเครื่องจักรยานยนต์โดยที่ไม่รู้ตัว จากนั้นตนได้หันไปขอโทษเนื่องจากคิดว่าตนขี่รถไปเบียด ต่อมากลุ่มคนร้ายได้ตะโกนบังคับให้หยุดรถ ตนเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามบิดคันเร่งแต่เร่งไม่ได้ ตนจึงตั้งสติและมองไปที่กุญแจ และบิดรถหนีไปมุ่งหน้าออกแยกนิด้า ก่อนเจอด่านตรวจบริเวณถนนเสรีไทยจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือ กระทั่งขี่ไปถึงบ้านได้อัดคลิปวิดีโอเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอัปขึ้นบนเฟซบุ๊ก หลังจากนั้น ผกก.สน.บึงกุ่ม และผกก.สน.ลาดพร้าว ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบปากคำซึ่งตนก็รู้สึกเสียใจเมื่อรู้ว่าคนร้ายเป็นเพียงเด็กอายุ 19 ปี และรู้สึกเป็นห่วงอนาคต และโชคดีที่วันนั้นสวมใส่สร้อยหลวงปู่ทวดทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอเตือนว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้นขอให้มีสติให้มากที่สุดด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผู้เสียหายชี้ตัวผู้ต้องหานั้น ญาติของผู้เสียหายได้ทำร้ายร่างกายนายไชยรบ โดยชกเข้าไปที่ใบหน้า 1 ครั้ง ทำให้เลือดออก ทั้งนี้ ภายหลังแถลง พล.ต.ท.ศรีวราห์ได้ให้แพทย์จาก รพ.ตำรวจตรวจร่างกายของผู้ต้องหา รวมถึงสั่งการให้ดำเนินคดีตามกฎหมายสำหรับผู้ที่ทำร้ายร่างกาย พร้อมทั้งเปรียบเทียบปรับ และแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายด้วย
คดีที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัย จับกุมนายศิริชัย ยศเรือง อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่414/3 ซอยพหลโยธิน 35 แขวงลาดพร้าว เขตจตุจักร กทม. นายนพรัตน์ ม่วงขำ อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7/1 หมู่ 12 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และนายเจริญ วงค์ตัน อายุ 53 ปี พร้อมของกลางกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน กางเกงขายาวสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวลาย ขาว-ดำ รองเท้าแตะ สีน้ำตาล รองเท้าแตะสีดำ กระเป๋าเดินทางสีดำยี่ห้อ Daiichi โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย สีดำ 1 เครื่อง แหวนเพชร 1 วง สร้อยทองคำขาว 1 เส้น บัตรเอทีเอ็ม 2 ใบ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง ดอกกุญแจรถเปล่าจำนวนหลายดอก กล่องและกระเป๋าโลหะสีเงินจำนวน 1 กล่องเครื่อง ON ใช้ตรวจหาความถี่ของกุญแจ 1 เครื่อง เครื่องทำกุญแจรถชนิดต่างๆ 7 เครื่อง โดยสามารถจับกุมนายนพรัตน์ และนายศิริชัยได้ที่หน้าร้านทีเอ็มดี จำกัด (ขายเครื่องกรองน้ำและซ่อมรถยนต์) ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กทม. และจับกุมนายเจริญ ได้ที่บริเวณอู่ซ่อมรถไม่มีเลขที่ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
พ.ต.อ.สุเทพกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.30 น.ที่ผ่านมา ขณะที่นางชลิตา ศิริกานต์วัฒนา อายุ 45 ปี ผู้เสียหายและบุตรชายอายุ 11 ขวบ อยู่ภายในร้านวิทย์การกุญแจ เลขที่ 184 สามแยกโชคชัย 4 ตัดลาดพร้าววังหิน แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ได้มีคนร้ายเป็นชายไทยจำนวน 3 คน โดยมีอายุประมาณ 50 ปี จำนวน 1 คน และอายุ 30 ปีจำนวน 2 คน เดินเข้ามาในร้านทำทีขอปั๊มกุญแจ ขณะที่ผู้เสียหายกำลังปั๊มกุญแจให้นั้นได้มีโทรศัพท์บ้านดังขึ้นมาจึงมารับโทรศัพท์จากญาติที่เชียงใหม่ว่าสามีขึ้นเครื่องกลับ กทม.ไม่ทัน พอวางสายโทรศัพท์ได้มีคนร้าย 1 คน เข้ามาล็อกจากทางด้านหลังและลากเข้ามาในบ้านจากนั้นใช้เทปกาวสีแดงที่เตรียมมาปิดตา พันมือไพล่หลัง และใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้เสียหายและบุตรชายไว้
พ.ต.อ.สุเทพกล่าวอีกว่า คนร้ายได้สอบถามว่าเก็บทรัพย์สินไว้ที่ใด ผู้เสียหายจึงบอกว่าเก็บไว้บนห้องชั้น 2 คนร้ายจึงขึ้นไปรื้อค้นทรัพย์สิน ขณะที่คนร้ายกำลังรื้อค้นทรัพย์สินอยู่ชั้น 2 นั้น คนร้ายคนหนึ่งที่อายุ 50 กว่าปี ได้พูดกับเด็กว่า “พ่อมึงทำเบ้ากุญแจรถกูพัง” จากนั้นเมื่อคนร้ายได้ทรัพย์สินแล้วจึงลงมาชั้นล่างและคลายเทปกาวให้บุตรชายผู้เสียหาย โดยบอกกับบุตรชายผู้เสียหายว่า “อย่าเพิ่งแก้มัดให้แม่นะ เดี๋ยวออกไปก่อนถึงค่อยแก้มัด” จากนั้นคนร้ายทั้ง 3 คนจึงหลบหนีไป ทั้งนี้ทางผู้เสียหายได้ทำการตรวจสอบทรัพย์สินพบว่ามีเงินสดประมาณ 9,000 บาท แหวนเพชรแต่งงานราคาประมาณ 18,000 บาท สร้อยทองคำขาว 1 เส้น และเครื่องมือทำกุญแจอีกหลายรายการยังไม่ทราบจำนวนหายไป จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
พ.ต.อ.สุเทพกล่าวต่อว่า จากนั้นทางตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.โชคชัย และ กก.สส.บก.น.4 ร่วมกันลงพื้นที่หาเบาะแส รวมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดละแวกที่เกิดเหตุพบชายต้องสงสัยจำนวน 4 รายอย่างชัดเจน พบว่าวันเกิดเหตุผู้ต้องหาไปซื้ออุปกรณ์เทปพันตัวผู้เสียหาย ถุงใส่ของ และเอารูปในกล้องวงจรปิดให้ผู้เสียหายดูซึ่งจำได้ว่าเป็นกลุ่มคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ หลังจากนั้นได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับศาลอาญา ต่อมาทางชุดทำงานพบเบาะแสคนร้าย 2 คน และ สามารถควบคุมตัวนายศิริชัย และนายนพรัตน์ซึ่งหลบหนีไปทำงานอยู่ที่ร้านทีเอ็มดี จำกัด ถนนสาธุประดิษฐ์ แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กทม. ส่วนนายเจริญควบคุมตัวได้ที่บริเวณอู่ซ่อมรถไม่มีเลขที่ในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 1 ราย ทราบชื่อนายณัฐวุฒิ ม่วงขำ ได้หลบหนีไปยังประเทศพม่า
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า สามีผู้เสียหายได้มีการโพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กว่าร้านตนทำกุญแจห่วยทำให้เกิดความเสียหาย ตนต้องการแค่เข้าไปหาผู้ชายเพื่อให้ลบข้อความบนเฟซบุ๊กเพราะตนทำมาหากินไม่ได้ แต่วันเกิดเหตุเมื่อไปถึงร้านไม่พบตัวสามีผู้เสียหาย ส่วนของต่างๆ ที่เอาไปตนไม่อยากได้ แต่เหตุการณ์มันพาไป ทั้งนี้ไม่ได้เตรียมการมาก่อน เพราะนั่งแท็กซี่มาเจอกันที่ร้านลาบ ขากลับก็นั่งแท็กซี่กลับ
นอกจากนี้ จากแนวทางการสืบสวนทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีอาชีพเป็นช่างทำกุญแจเช่นกัน ใช้ชื่อว่าอู่แบ๊ง กุญแจ โดยผู้เสียหายและคนร้ายได้มีการท้าทายกันผ่านทางเฟซบุ๊กว่าร้านตนเองฝีมือการสามารถทำกุญแจรถยนต์เป็นอันดับหนึ่งในประเทศไทย ทางผู้เสียหายก็บอกว่าเครื่องทำกุญแจที่ร้านตนเองเป็นเครื่องทำกุญแจนำเข้าจากต่างประเทศ กลุ่มผู้ต้องหาจึงรวมตัวกันเพื่อมาปล้นเครื่องทำกุญแจดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องสอบสวนผู้ต้องหาอย่างละเอียดอีกครั้ง รวมทั้งจะติดตามตัวผู้ต้องหาอีกรายที่ยังหลบหนีมาให้ได้ เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาปล้นทรัพย์, ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น, ร่วมกันเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ดำเนินคดี และจะเร่งติดตามตัวนายณัฐวุฒิมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป