xs
xsm
sm
md
lg

จับยานรก 5 ดคี-ตั้ง คกก.สอบ ตร.ยิงผู้ต้องหาถือมีดบุกโรงพักธัญบุรีดับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


บช.ปส.แถลงจับแก๊งค้ายาเสพติดในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล รวม 5 คดี ยึดยาบ้า-ยาไอซ์และยาอีได้จำนวนมากขณะซุกไว้ตามแหล่งที่พักในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบ ตร.ธัญบุรี ยิงผู้ต้องหาถือมีดบุกโรงพักจนเสียชีวิต ผบ.ตร.ย้ำต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

วันนี้ (8 มิ.ย.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.(ปส.1) พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.ทนัย อภิชาตเสนีย์ ผบก.สกส. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมการจับกุมเครือข่ายค้าเสพติดจำนวน 5 คดี ดังนี้ คดีแรกเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายศรัณยู นางแล หรือต่อ อายุ 24 ปี, นายมงคล วงศ์ใหญ่ หรือเมย์ อายุ 25 ปี, นายมงคล อะทะเทพ หรือเอ็กซ์ อายุ 27 ปี พร้อมของกลางยาบ้า 60,000 เม็ด ถุงพลาสติกสีน้ำตาลอย่างหนา 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง รถเก๋งยี่ห้อมาสด้า 2 สีขาว ทะเบียน 1กฆ 1460 กทม.

พล.ต.ท.เรวัชกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ บก.ปส.3 บช.ปส. ได้รับแจ้งจากสายลับว่านายพนมพรและพวกมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติด ให้แก่กลุ่มลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จะนำยาเสพติดมาซุกซ่อนไว้ที่บริเวณเพิงเก็บของข้างทางไม่ทราบเลขที่ ภายในซอยเอกชัย 83/3 แขวงบางบอน เขตบางบอน กทม.เพื่อรอส่งต่อให้ลูกค้า เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ ต่อมาวันที่ 4 มิ.ย.พบนายพนมพรและพวกขับรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีเขียว ทะเบียน ลธ 4168 กทม.มีหลังคาแครี่บอย ติดสติกเกอร์ตรามูลนิธิแห่งหนึ่ง ถอยท้ายเข้าไปจอดในโรงจอดรถลักษณะต้องสงสัย จากนั้นทั้งหมดได้ออกมาขับรถกระบะยี่ห้อฟอร์ด สีน้ำเงิน ทะเบียน 2 กอ 902 กทม. ออกไปจากซอยมุ่งหน้าถนนกาญจนาภิเษก เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไปกระทั่งพบว่านายพนมพรกับพวกได้ขับจักรยานยนต์เข้ามาที่เพิงเก็บของอีกครั้ง

จากนั้นเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันเดียวกัน นายพนมพรได้ยกถุงพลาสติกสีน้ำตาลไปยังจักรยานยนต์ทะเบียน พคก 258 กทม. โดยมีชายไม่ทราบชื่อซ้อนท้าย มุ่งหน้าไปยังถนนพระราม 2 เมื่อไปถึงบริเวณหน้าบริษัท ไทม์ลี่ จำกัด ริมถนนพระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. นายพนมพรได้นำถุงสีน้ำตาลไปวางไว้ที่พุ่มไม้หลังเสาไฟฟ้าแล้วขี่จักรยานยนต์ออกไปอย่างเร็ว จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณดังกล่าวก็พบนายศรัณยูเดินมาจากริมถนนเข้าไปหยิบถุงพลาสติกสีน้ำตาลขึ้นรถแท็กซี่ ทะเบียน ทศ 7116 กทม.ออกไปถนนกาญจนาภิเษกมุ่งหน้าไปทางบางบัวทอง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามไปกระทั่งถึงหน้าศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้อซูซูกิ สาขาบางบอน ริมถนนกาญจนาภิเษก จึงเรียกรถแท็กซี่หยุดเพื่อตรวจค้น พบนายศรัญยูนั่งอยู่ภายในรถบริเวณเบาะนั่งโดยสารด้านหลัง และพบยาบ้าจำนวน 30 มัด หรือประมาณ 60,000 เม็ด ซ่อนในถุงสีน้ำตาลวางอยู่บริเวณที่วางเท้าของเบาะด้านหลัง จึงจับกุมตัวพร้อมยึดยาบ้าไว้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลจับกุมนายมงคล หรือเมย์ และนายมงคล หรือเอ็กซ์ ซึ่งเดินทางมารับยาบ้าต่อที่บ้านบางพลัดรีสอร์ท เวลาประมาณ 11.30 น.ของวันที่ 6 มิ.ย. จึงได้ทำการจับกุมก่อนนำตัวไปตรวจค้น ที่อาคารสตูดิโอโซน 3302 เลขที่ 142/28 ซอยลาดพร้าว 102 ถนนลาดพร้าว แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่พบปี๊บโลหะจำนวนหลายใบ ซึ่งนายมงคล หรือเมย์ รับว่าปี๊บดังกล่าวเป็นปี๊บหน่อไม้ดองใช้ซ่อนอำพรางห่อยาบ้า เจ้าหน้าที่จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายสาโรช แก้วประดับเพชร หรือบอย อายุ 31 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า 115,300 เม็ด ยาไอซ์ น้ำหนัก 1,800 กรัม ยาอี 600 เม็ด ยาเค จำนวน 290 ขวด รถเก๋งยี่ห้อฮอนด้ารุ่นซีวิค สีแดง ทะเบียน 6ศ 3066 กทม. 1 คัน กระเป๋าผ้าสีดำ 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง อุปกรณ์การเสพยาไอซ์ จำนวน 1 ชุด เครื่องชั่งน้ำหนักดิจิตอล 3 เครื่อง และถุงพลาสติกชนิดใสขนาดต่าง 3 ห่อ

พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ บก.ปส.3 ได้รับแจ้งจากสายลับว่านายสาโรชมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดให้แก่กลุ่มลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และมักพาเพื่อนมามั่วสุมเสพยาเสพติดกันที่ห้องคอนโด ย่านถนนพระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. กระทั่งพบนายสาโรช ได้ขับรถเก๋ง ยี่ห้อฮอนด้ารุ่นซีวิค สีแดง ทะเบียน 6ศ 3066 กทม. ขับจากที่พักมุ่งหน้า ถนนสุขุมวิท จ.สมุทรปราการ ก่อนจอดรถใกล้กับ สรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาสมุทรปราการ ถนนสุขุมวิท ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ต่อมามีชายไม่ทราบชื่อ ขับขี่จักรยานยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนมาจอดบริเวณท้ายรถ นายสาโรจนำถุงพลาสติกสีเขียววางใส่ไว้ในรถก่อนแยกย้ายกันไป โดยนายสาโรชได้ขับรถออกจากจุดดังกล่าวจนกระทั่งถึงบริเวณหน้าโรงพยาบาลสัตว์พระราม 2 นายสาโรชได้จอดรถอยู่ริมถนน ก่อนลงหยิบเอาถุงสีดำซึ่งวางอยู่บริเวณพุ่มไม้ขึ้นรถแล้วขับออกไป แล้วขับรถกลับมายังคอนโดฯ เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าสังเกตการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลาประมาณ 09.00 น.ของวันที่ 5 มิ.ย. นายสาโรชได้เดินลงมาจากห้องพัก และเดินไปยังรถของตนอีกครั้ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจค้นพบยาบ้าประมาณ 100,000 เม็ดซ่อนอยู่ในถุงสีดำ และพบยาบ้าอีก 10,000 เม็ดในกระโปรงท้ายรถเก๋ง ฮอนด้าซีวิค สีแดง ทะเบียน 6ศ 3066 กทม.ของนายสาโรจน์ จึงยึดไว้เป็นของกลาง ก่อนตรวจค้นคอนโดมิเนียมที่พักพบยาบ้า 5,300 เม็ด และของกลางที่เหลือดังกล่าว จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า, ไอซ์ หรือเมทแอมเฟตามีน, ยาอี) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อขาย โดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไว้ครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ก่อนนำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 3 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายพนมพร การเก่ง หรือนายจิ้ม อายุ 35 ปี นายสกลวรรธน์ เสริมศาสตร์ หรือนายโต้ง อายุ 33 ปี นายวิชิต เพชรศรีโชติ หรือชิต อายุ 38 ปี และนายวิสุทธิ์ หรือมิ้นต์ คงจันทร์ อายุ 25 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า 790,000 เม็ด รถกระบะยี่ห้อ อีซุซุ สีเขียว ทะเบียน ลธ 4168 กทม.จำนวน 1 คัน รถกระบะยี่ห้อ ฟอร์ด สีน้ำเงิน ทะเบียน 2 กอ 902 กทม. จำนวน 1 คัน รถจยย.ยี่ห้อยามาฮ่า สีเทา ทะเบียน พคก 258 กทม. จำนวน 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

พล.ต.ต.พรชัยกล่าวว่า สืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดนายพนมพรและพวก กระทั่งสามารถจับกุมนายศรัณยู นางแล และพวกรวม 3 คน พร้อมยาบ้าจำนวน 30 มัด ประมาณ 60,000 เม็ด โดยทราบมาว่าในกลุ่มเครือข่ายของนายพนมพรนั้นมีผู้ร่วมขบวนการจำหน่ายยาเสพติดอีก จึงทำการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุม โดยพบรถยนต์เป้าหมายเข้าไปจอดภายในบ้านไม่ทราบเลขที่ ตั้งอยู่ภายในซอยเอกชัย 83/3 จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์ที่บ้านหลังดังกล่าวไว้โดยตลอด กระทั่งหัวค่ำของวันที่ 6 มิถุนายน 2558 พบนายพนมพรและนายวิชิต ได้เดินทางกลับเข้ามาที่บ้านไม่ทราบเลขที่และได้มีการนำถุงพลาสติกสีน้ำตาล ขนาดใหญ่จำนวน 1 ใบ ลักษณะมีน้ำหนักออกจากบ้านโดยนำถุงใบดังกล่าววางไว้ที่หน้าตักของผู้ต้องหาที่ 4 นั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์ที่มีนายพนมพรขับขี่ โดยขี่ไปตามเส้นทางถนนบางบอนออกสู่ถนนพระราม 2 ผ่านห้างเซ็นทรัล สาขาพระราม 2 และได้นำถุงพลาสติกสีน้ำตาลดังกล่าวไปวางไว้บริเวณพงหญ้าใกล้เสาไฟฟ้าหน้าบริษัท ไทม์ลี่ จำกัด ก่อนจะขับขี่จักรยานยนต์หายเข้าไปในซอยบางแคฯ ส่วนถุงพลาสติกดังกล่าว ได้มีนายศรัณยู นางแลมาหยิบไปและนำขึ้นรถแท็กซี่ ซึ่งชุดสืบสวนได้ติดตามจับกุมได้พร้อมยาบ้าจำนวน 60,000 เม็ด ซึ่งชุดสืบสวนเชื่อว่าบ้านหลังที่ไม่ทราบเลขที่ ภายในซอยเอกชัย 83/3 มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์ไว้ และกระจายกำลังกันหาตัว ผู้ต้องหาที่ 1, 2, 3, 4 และนายจีระศักดิ์ พรมทัน กระทั่งเวลากลางวัน ของวันที่ 7 มิถุนายน 2558 พบผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่จักรยานยนต์ (ของกลางลำดับที่ 4) อยู่บนถนนบางแค และได้ไปจอดอยู่บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย

พล.ต.ต.พรชัยกล่าวว่า จากนั้นชุดสืบสวนจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เข้าตรวจสอบและเชิญตัวไปสอบถาม พร้อมทั้งได้นำภาพถ่ายของผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 4 ขณะขับขี่จักรยานยนต์ขับขี่ นำถุงบรรจุยาบ้าไปส่งให้กับนายศรัณยู ผู้ต้องหาก่อนหน้า เมื่อผู้ต้องหาที่ 1 เห็นภาพถ่ายดังกล่าว จึงได้ยอมรับว่าร่วมกันกับพวกจำหน่ายยาเสพติดดังกล่าวจริง และยังมียาบ้าจำนวนมากเก็บซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์กระบะ จอดอยู่ภายในบ้านมารดาของตน โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าผู้ต้องหาที่2 ซึ่งเป็นผู้ที่สั่งการและเป็นผู้ประสานงานการรับ และส่งยาเสพติด พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักหลังวัดสิงห์ จึงได้พาชุดสืบสวนไปพบและเชิญตัวมาสอบปากคำเกี่ยวกับการร่วมจำหน่ายยาเสพติด เมื่อชุดสืบสวนไปทำการเชิญตัวผู้ต้องหาที่ 2 ต่อหน้าบรรดาญาติๆ ของผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยอมรับกับชุดสืบสวนและญาติว่าร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดจริง และยอมพาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปทำการตรวจยึดยาเสพติดทั้งหมด โดยผู้ต้องหาที่ 1 ยังรับว่าผู้ต้องหาที่ 4 อยู่ที่บ้านพักของผู้ต้องหาที่ 1 ภายในซอยบางแค 16 อีกทั้งกุญแจสำหรับเปิดประตูโรงรถ และกุญแจรถยนต์กระบะคันของกลางลำดับที่ 2 อยู่ที่บ้านพักหลังดังกล่าว ชุดสืบสวนจึงได้ให้ผู้ต้องหาที่ 1 โทรศัพท์แจ้งให้ผู้ต้องหาที่ 4 นำพวงกุญแจทั้งหมดดังกล่าวมาส่งมอบให้กับผู้ต้องหาที่1 ที่บ้านมารดาของผู้ต้องหาที่ 1 ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 4 กำลังจะไปขับขี่จักรยานยนต์ เพื่อเดินทางไปพบกับผู้ต้องหาที่ 1 ชุดสืบสวนบางส่วนที่ดักรออยู่ได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมกับเชิญผู้ต้องหาที่ 4 เดินทางไปสมทบกับผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ที่บ้านภายในซอยเอกชัย 83/3 เมื่อผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ3 มาพร้อมกันที่บ้านไม่ทราบเลขที่ ซึ่งเป็นบ้านมารดาของผู้ต้องหาที่ 1 ชุดสืบสวนได้ให้ผู้ต้องหาที่1 ใช้กุญแจดังกล่าวข้างต้น เปิดประตูโรงรถ และนำเข้าทำการตรวจค้นรถยนต์กระบะ ผลการตรวจค้นพบยาบ้าจำนวน 395 มัด ประมาณ 790,000 เม็ด บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ย และถุงพลาสติกสีดำ ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะ มีหลังคาแคร์รี่บอย จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้แจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาดังกล่าวข้างต้น โดยผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ได้ให้ข้อมูลว่าผู้ต้องหาที่ 4 พักอยู่ที่อาคารไม่ทราบเลขที่ ภายในซอยพระราม 2 (75) แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ชุดสืบสวนจึงได้เดินทางเฝ้าสังเกตการณ์บริเวณดังกล่าว เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 4 ระหว่างทางที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ 3 ไปยัง บช.ปส. ผู้ต้องหาที่ 4 ได้โทรศัพท์สอบถามผู้ต้องหาที่ 1 ว่าทราบหรือไม่ว่าผู้ต้องหาที่ 2 ถูกจับกุม ซึ่งผู้ต้องหาที่1 ตอบไปว่าอยู่ด้วยกันกับผู้ต้องหาที่ 2 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 4 วางสายไปทันที จากนั้นสักครู่ชุดสืบสวนที่เฝ้าอยู่ที่หน้าอาคารที่พักของผู้ต้องหาที่ 4 พบผู้ต้องหาที่ 4 ออกจากอาคารที่พักดังกล่าว ชุดสืบสวนจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าทำการจับกุมผู้ต้องหาที่ 4 พร้อมตรวจยึดรถยนต์กระบะอีกคัน โดยได้แจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาที่4 เช่นเดียวกันกับผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งผู้ต้องหาที่ 4 ทราบ และเข้าใจเป็นอย่างดี และยอมรับกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมและญาติของผู้ต้องหาที่ 4 ว่าได้ร่วมกันกับพวกจำหน่ายยาเสพติดจริงตามที่ถูกกล่าวหา ชุดสืบสวนจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดมายัง บก.ปส.3 บช.ปส. เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกับพวกที่หลบหนี มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่รับอนุญาต ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหาและของกลางส่งพนักงานสอบสวนต่อไป

คดีที่ 4 เจ้าหน้าที่จับกุม นายสุขสันต์ จิตใจตรง อายุ 34 ปี นายณัฐพนธ์ ปานนุ้ย อายุ 22 ปี พร้อมของกลาง ยาบ้า 82,000 เม็ด รถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้าสีชมพู หมายเลขทะเบียน ทล 5979 กทม.จำนวน 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง โดยสามารถจับกุมได้ที่ริมถนนพหลโยธิน หมู่ 1 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และ ริมถนนพหลโยธิน บริเวณซอยคลองหลวง 29 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ต่อเนื่องกัน การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 58 เวลาประมาณ 00.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการได้รับแจ้งข้อมูลจากสายลับว่ามีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ซึ่งมีพฤติการณ์รับจ้างลักลอบลำเลียงยาเสพติดจะทำการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเพื่อนำส่งเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยใช้รถยนต์นั่งสาธารณะ ยี่ห้อโตโยต้าสีชมพู อำพรางเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการจึงทำการสืบสวนและติดตามโดยกระจายกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ในเส้นทางถนนพหลโยธิน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยาและบริเวณใกล้เคียง จนกระทั่งวันที่ 6 มิ.ย.เวลาประมาณ 22.00 น.พบรถยนต์ต้องสงสัยลักษณะตรงตามที่สายลับแจ้ง ขับเข้ามาบริเวณที่ว่างริมถนนพหลโยธิน หมู่ 1 ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และส่งมอบยาเสพติดให้กับรถยนต์อีกคันหนึ่งอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการจึงได้แสดงตนขอตรวจค้น ปรากฏว่าคนในรถยนต์นั่งสาธารณะได้ทิ้งยาเสพติดของกลางไว้ในที่เกิดเหตุ แล้วกลุ่มผู้ต้องหาได้ขับรถหลบหนีออกจากบริเวณดังกล่าวจำนวน 3 คัน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการสามารถติดตามรถยนต์นั่งสาธารณะ ยี่ห้อโตโยต้า สีชมพูได้ทัน ที่บริเวณริมถนนพหลโยธิน ซอยคลองหลวง 29 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานีและสามารถจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้จำนวน 2 คนซึ่งอยู่ในรถยนต์นั่งสาธารณะของกลาง โดยมีนายสุขสันต์เป็นผู้ขับและนายณัฐพนธ์เป็นผู้โดยสารนั่งข้างคนขับ ส่วนรถยนต์อีก 2 คันซึ่งเป็นรถยนต์นั่งยี่ห้อโตโยต้ารุ่นคัมรี่ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนและรถยนต์นั่งยี่ห้อฮอนด้ารุ่นซีอาร์วี ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน สามารถขับหลบหนีไปได้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนจะนำผู้ต้องหาทั้งสองคนพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินการตามกฎหมาย

คดีที่ 5 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.41 สภ.ท่าแซะ สภ.บ้านมาบอำมฤต สภ.ปะทิว และ สภ.สลุย ได้ร่วมกันตรวจยึดยาบ้า 20,000 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม. ตรวจยึดบริเวณด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ถนนเพชรเกษม (ชุมพร-กรุงเทพฯ) หมู่ 2 ต.หงษ์เจริญ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เวลาประมาณ 00.30 น. ตรวจยึดจากรถทัวร์โดยสารกรุงเทพ-นครศรีธรรมราช-ปากพนัง ทะเบียน 15-6945 กรุงเทพฯ บริษัทนครศรีร่มเย็นทัวร์ หมายเลขข้างรถ 981-27

พล.ต.ต.พรชัยกล่าวว่า สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าตำรวจ กก.2 บก.ปส.4 (นปส.ชุมพร), เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.414, สภ.ท่าแซะ, สภ.บ้านมาบอำมฤต, สภ.ปะทิว และ สภ.สลุย จ.ชุมพร ได้สนธิกำลังร่วมกันตั้งจุดตรวจ บริเวณริมถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ-ชุมพร) หน้าที่ทำการด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ขณะปฏิบัติหน้าที่พบรถทัวร์โดยสารกรุงเทพ-นครศรีธรรมราช-ปากพนัง ทะเบียน 15-6945 กรุงเทพฯ ของบริษัทนครศรีร่มเย็นทัวร์ หมายเลขข้างรถ 981-27 ขับผ่านมา โดยมีนายคนึง เต่าทอง เป็นพนักงานขับรถ (ทราบชื่อภายหลังการตรวจค้น) น.ส.อุทุมพร ดวงบรรจง เป็นพนักงานต้อนรับประจำรถ ขับผ่านมาตามถนนเพชรเกษมมุ่งหน้า จ.ชุมพร ขณะกำลังจะผ่านจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้นจึงเรียกให้หยุดเพื่อตรวจค้นสิ่งของผิดกฎหมาย ขณะทำการตรวจค้นนายคนึง พนักงานขับรถ ได้อาศัยจังหวะหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกติดตามแต่ไม่พบผู้หลบหนี ผลการตรวจรถทัวร์พบยาบ้าประมาณ 20,000 เม็ด ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสัมภาระแบบหูหิ้วสีดำคาดขาว วางอยู่บนชั้นวางสัมภาระชั้นบนห้องโดยสารบนเก้าอี้หมายเลข 7-8 และได้ทำการตรวจสอบแล้วไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า, ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนทำการตรวจยึดไว้แล้วนำส่ง พนักงานสอบสวน บก.ปส.4 ดำเนินการตามกฎหมาย และจักได้ทำการสืบสวนสอบสวนถึงผู้กระทำความผิดต่อไป

พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวถึงกรณีที่นายอัสนีชัยพล เจริญวินิจ อายุ 30 ปี ถือมีดบุกโรงพัก สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ก่อนที่ ส.ต.ต.ไพสิฏฐ์ อ่อนสองชั้น ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงบาดเจ็บสาหัส ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ผบ.ตร สั่งการให้ตนดำเนินการตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา เบื้องต้นได้ได้มีการดำเนินคดีต่อ ส.ต.ต.ไพสิฏฐ์แล้วในข้อหาดำเนินการโดยประมาท อ้างว่าอยู่ในหน้าที่ และจะต้องมีการสอบสวนต่อไป

ด้าน พล.ต.อ.สมยศกล่าวเสริมว่า จากเหตุดังกล่าวจะต้องทำการสอบสวนด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย สำหรับการวิสามัญฆาตกรรมปัจจัยทั่วไป คือ เมื่อคนเราทุกคนสามารถป้องกันตนเองได้หากมีอันตรายมาถึงตัว แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นต้องมีการฝึกทักษะในการใช้อาวุธ ให้มีความชำนาญในการใช้อาวุธเพื่อให้สามารถใช้อาวุธได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจิตใจคนเรานั้นไม่เหมือนกัน การตัดสินใจก็ไม่เหมือนกัน หากตัวผมเองก็บอกไม่ได้ว่า ถ้าต้องตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนั้นจะตัดสินใจยิงหรือไม่ยิง สำหรับครอบครัวของผู้ตายนั้น ขณะนี้ได้มีการช่วยเหลือดูแลครอบครัวของผู้ตายอย่างเต็มที่


กำลังโหลดความคิดเห็น