ชุดสืบสวนห้วยขวาง จับกุมแก๊งเชิดรถยนต์หลังมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความหลายราย พบของกลางรถยนต์ 16 คัน ได้ผู้ต้องหา 4 รายมีพฤติการณ์เปิดอู่ซ่อมรถบังหน้า
วันนี้ (10 มี.ค.) ที่บริเวณเต็นท์รถไม่ทราบชื่อ หลังเต็นท์แห่งหนึ่ง ถ.เทียมร่วมมิตร แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรหมนกูล ผบช.น. พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 ผกก. พ.ต.อ.กิตติพงษ์ วิเศษสงวน ผกก.สน.ห้วยขวาง พ.ต.ท.คณธัช มุสิกานนท์ รอง ผกก.สส.สน.ห้วยขวาง พ.ต.อ. อภิฌาน สวัสดิบุตร พนังงานสืบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ห้วยขวาง พ.ต.ท.จิระพล ประพันธ์จันทร์ พ.ต.ท.กฤษณ์พน เพ็ชรสดศิลป์ สว.สส.สน.ห้วยขวาง ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว นางสาวภูริตา มณีมาศ อายุ 25 ปี นายปิยะวัฒน์ เกตุนาค อายุ 35 ปี นายสุริยาวุธ นามพุทธา อายุ 28 ปี นายกวางเจิง แซ่เจา อายุ 20 ปี สัญชาติจีน พร้อมตรวจยึดรถของกลาง รถยนต์ยี่ห้อต่างๆ จำนวน 19 คัน กุญแจรถยี่ห้อต่างๆ จำนวนมาก เครื่องมือช่าง 2 กล่อง เงินสดจำนวนหนึ่ง โดยสามารถจับกุมตัวได้เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. วันที่ 10 มี.ค.
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจาก นางสาวศิวพร ตั้งรุ่งเรืองอยู่ ผู้เสียหายได้เดินทางมาแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามี นายกิตติภัฎ สมิติวิวรรณ มาเช่ารถที่เต็นท์รถของนางสาวศิวพรไปจำนวน 3 คัน เมื่อถึงกำหนดหมดสัญญาเช่าไม่มีการส่งคืน จึงตามหารถด้วยระบบติดตามรถยนต์ (GPS) มาพบรถอยู่ที่เต็นท์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้ทำการเข้าตรวจสอบโดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เมื่อมาถึงพบรถยนต์ฮอนด้า เลขทะเบียน 1กษ 4644 กทม. รถยนต์ฮอนด้า เลขทะเบียน 3กฐ 7754 รถยนต์โตโยต้า เลขทะเบียน 3กฆ 4574 ซึ่งเป็นรถจากเต้นของนางสาวศิวพร จอดอยู่ในเต็นท์รถดังกล่าว และพบ นายปิยะวัฒน์ นายสุริยาวุธ และ นายกวางเจิง กำลังรื้อชิ้นส่วนรถอยู่ โดยมี นางสาวภูริตา กำลังนั่งอยู่ในรถยนต์คันหนึ่ง
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบโทรศัทพ์มือถือของนางสาวภูริตา พบว่า มีการส่งข้อความทางโปรแกรมไลน์ว่า “แกะระบบติดตามแล้ว” เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไว้ และจากการตรวจสอบภายในเต้นท์รถดังกล่าวพบของกลางเป็นรถยนต์อีก 16 คัน ซึ่งเมื่อจับกุมได้แล้วมีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความเพิ่มอีก 8 ราย ซึ่งต่อจากนี้ตนจะเร่งให้เจ้หน้าที่ตำรวจติดตามตัวนายกิตติภัฎมาดำเนินคดีให้ได้ และจะสอบส่วนขยายผลต่อไป ซึ่งอาจจะผิดกฎหมาย ปปง. ต้องมีการยึดทรัพย์พิ่มเติม
นายปิยะวัฒน์ ให้การรับสารภาพว่า ตนเปิดอู่ซ่อมรถยนต์อยู่ที่ย่านสุทธิสาร ชื่อร้าน เดอะ บ๊อก โดยเปิดมานาน 3 ปีแล้ว ซึ่งต่อมามีลูกค้าทราบชื่อว่านายตี๋ (ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง) มาติดต่อให้ตรวจสอบระบบติดตามรถยนต์ให้ โดยในระยะสามเดือนก่อนหน้านี้ได้นำรถมาให้ตรวจสอบประมาณ 3 คัน และภายในเดือนนี้ได้นำรถมาให้ตรวจสอบที่หลังเต็นท์แห่งนี้ อีก 13 คัน โดยตนจะได้รับค่าจ้างคันล่ะ 1,500 บาท ตนได้ตรวจสอบพบว่ามีระบบ GPS 5 - 6 คัน แต่ก่อนที่นายตี๋จะมารับรถก็มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเสียก่อน ซึ่งก่อนหน้านี้นายตี๋เคยจ้างให้ไปตรวจรถให้ที่บ้านย่านลาดกระบัง สำหรับวิธีการตรวจสอบนั้นตนไม่มีอุปกรณ์พิเศษใดๆ แต่จะใช้วิธีการตรวจดูและรื้อระบบไฟภายในรถยนต์ จะใช้เวลาในการตรวจสอบต่อคันล่ะประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ หลังจากที่ตรวจสอบจะแจ้งให้เจ้าของรถทราบทันที หลังจากนั้น จะดำเนินการอย่างไรต่อขึ้นอยู่กับเจ้ของรถ ตนคิดว่านายตี๋ทำธุรกิจเกี่ยวกับเต็นท์รถ สาเหตุที่รับทำงานล่าสุดเนื่องจากว่านายตี๋ต้องกับตนว่า เมื่อนายตี๋รับซื้อรถมือสองมาแล้ว มีเจ้าของเก่ามาตามเอารถคืน ตนจึงทำเพราะได้เงิน และรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นางสาวภูริตา กล่าวว่า ตนคบหาดูใจกับนายตี๋มาได้ 1 ปี นายตี๋ ได้วานให้ตนไปขับรถไปจอดตามจุดที่ตรวจ GPS ซึ่งตนไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งมาถูกตำรวจจับได้ สำหรับนายตี๋ ทราบชื่อจริงคือ นายกิตติภัฎ สมิติวิวรรณ อายุ 26 ปี อาชีพพนักงานส่งเอกสาร และรับติดตั้งเครื่องเสียง ซึ่งนายตี๋เคยบอกกับตนว่ากำลังจะเปิดเต็นท์รถ ตนเลยมาช่วย โดยตนทราบแต่เพียงว่า เต็นท์รถเป็นของนายเก๋ เพื่อนของนายตี๋ ซึ่งกำลังจะเปิดเป็นเต็นท์รถเร็วๆ นี้
ด้าน นายอินกวิน อัครพัฒน์ อายุ 44 ปี เช็กเกอร์ของบริษัท สาธร คาร์เร้น ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับรถเช่า กล่าวว่า เมื่อประมาณช่วงปลายเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้มี น.ส.ณภาภัช พันธ์เจริญกิจ อายุ 35 ปี และ นายธราธิป พันธ์เจริญกิจ อายุ 43 ปี ได้มาเช่ารถยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์ หมายเลยทะเบียน ฎธ 5622 กทม. ในราคาวันละ 2,500 บาท จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการเช่าอยู่ ซึ่งมีการจ่ายเงินตรงตามเวลาในทุกเดือน ต่อมาเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อมายังบริษัทส่าพบรถคันดังกล่าว จอดอยู่ในเต็นท์ด้านหลัง ซึ่งเป็นรถ 1 ใน 19 คันที่ทางเจ้าหน้าที่ทำการตรวจยึดเอาไว้หลังจากทราบว่ารถดังกล่าวถูกขโมย จึงเดินทางมาตรวจสอบพบว่ารถจอดอยู่จริง โดยรถส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นยี่ห้อโตโยต้า และติดสัญญาณจีพีเอส แต่ที่ตนไม่เอะใจว่ารถดังกล่าวหลายไป เนื่องจากทางผู้เช่ามีการชำระค่าเช่าตรงตามเวลาทุกเดือน
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหา “ร่วมกันยักยอกหรือรับของโจร” ก่อนจะนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อสอบขยายผลต่อไป