หนุ่มใหญ่ไอริช อดีตเจ้าของบริษัท ภูเก็ต พรอพเพอร์ตี้ นั่งประท้วงหน้า สตช.พร้อมลูกชาย-ลูกสาว ร้อง ผบ.ตร.ถูกขบวนการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ รวมหัวปลอมแปลงเอกสารขายบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 65 ล้านบาท โดยที่ตนไม่รู้เรื่องด้วย รู้เพียงคร่าวๆ ว่าภรรยาคนไทยกู้เงินมาลงทุน 6 แสนบาท แต่ชำระหนี้ไม่ได้ จึงถูกบังคับขายทรัพย์สิน
วันนี้ (2 มิ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายโคลิน วาร์ด อายุ 61 ปี พร้อมด้วยบุตรชายและบุตรสาว ถือป้ายข้อความมานั่งบนถนนพระราม 1 ด้านหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีที่ถูกขบวนการซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม, เจ้าหน้าที่ที่ดิน, ทนายความ, นายธนาคาร, บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดำเนินการปลอมแปลงเอกสารทำการซื้อขายถ่ายโอนบ้านและที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ มูลค่าประมาณ 65 ล้านบาท นอกจากนี้ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากตำรวจในพื้นที่ โดยมี พล.ต.ต.วรวิทย์ ลิปิพันธ์ รอง ผบช.สทส. ในฐานะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เวร และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานภูมิภาค 1 กองการต่างประเทศ เข้าเจรจา โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที นายโคลินจึงยอมเข้ามาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การจราจรติดขัด เนื่องจากตำรวจต้องปิดการจราจรบนถนนพระราม 1 เหลือเพียงช่องจราจรเดียว
นายโคลินกล่าวว่า ตนเองเคยเป็นเจ้าของบริษัท ภูเก็ต พรอพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 23/7 หมู่ 10 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยน และให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดตั้งแต่ปี 2544 ต่อมาถูกขบวนการซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม, เจ้าหน้าที่ที่ดิน, ทนายความ, นายธนาคาร, บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดำเนินการปลอมแปลงเอกสารทำการซื้อขายถ่ายโอนบ้านและที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ จำนวน 8 รายการ มูลค่าประมาณ 65 ล้านบาท
นายโคลินกล่าวว่า ต้นเดือนมิถุนายน 2553 ตนถูกกลุ่มบุคคลพร้อมอาวุธขับไล่ให้ออกจากบ้านพักซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทฯ แต่ตนไม่ยอมออก อีก 3 สัปดาห์ต่อมีก็มีหมายศาลจังหวัดภูเก็ตสั่งให้ตนออกโดยระบุว่าบ้านดังกล่าวถูกขายต่อไปยังบุคคลอื่นแล้ว ทั้งที่ตนไม่เคยทราบเรื่องมาก่อน ต่อมาจึงทราบเรื่องจาก น.ส.นิตยา สุคำภา อดีตแม่บ้านซึ่งตนมีบุตรชายด้วยว่าได้ไปกู้ยืมเงินจากผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งเป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท เพื่อไปลงทุนกิจการร้านก๋วยเตี๋ยว แต่อัตราดอกเบี้ยสูงมากจนไม่สามารถชำระได้ จึงถูกนายทุนรายดังกล่าวบังคับให้ร่วมมือดำเนินการฉ้อโกงเอาทรัพย์สินไปจากตน โดยร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร และปลอมลายมือของตนทำการซื้อขายถ่ายโอนทรัพย์สินของบริษัทไปยัง น.ส.นิตยาจนหมดสิ้น ก่อนที่ทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกขายต่อไปยังกลุ่มนายทุนโดยที่ตนไม่ทราบเรื่องและไม่เคยได้รับเงินจากการขายสินทรัพย์แม้แต่บาทเดียว
“ต่อมาผมจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินคืนจำนวน 2 คดี แต่มาทราบภายหลังจากล่ามว่าทนายความในพื้นที่ที่ว่าจ้างได้ร่วมมือกับขบวนการด้วย จึงเปลี่ยนมาใช้ทนายที่กรุงเทพฯ แต่ก็มีคนมาบอกว่าผู้มีอิทธิพลในขบวนการยื่นข้อเสนอเป็นจำนวนเงิน 1.2 ล้านบาท ให้ทนายว่าความให้แพ้ ปรากฏว่าแพ้คดีโดยที่ทนายไม่เคยให้ผมได้เห็นเอกสารหลักฐาน หรือเล่าเรื่องคดีให้ฟัง อีกทั้งเมื่อผมมาขอให้ทางกองพิสูจน์หลักฐานช่วยพิสูจน์ลายเซ็นให้ เมื่อได้ผลว่าลายเซ็นที่ปรากฏในเอกสารซื้อขายต่างๆ ไม่ใช่ของผมแต่ทนายก็ไม่ยอมนำเอกสารดังกล่าวไปใช้ในการว่าความทั้งที่เป็นหลักฐานสำคัญ” นายโคลินระบุ
นายโคลิน กล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่ตนมาร้องขอความเป็นธรรมในวันนี้ ต้องการให้ตำรวจรับแจ้งความในคดีที่ถูกโกง เพื่อที่ศาลจะคืนสิทธิอันชอบธรรมในทรัพย์สินที่ถูกโกงไปกลับคืนมา
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศได้ลงมาพบนายโคลินเพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ด้วยตนเอง โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมต่อนายโคลิน เบื้องต้นตนได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และกองการต่างประเทศประสานไปยังสถานกงสุลไอร์แลนด์ประจำประเทศไทยให้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมรับฟัง เนื่องจากการอธิบายขั้นตอนทางกฎหมาย ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา มีความแตกต่างกัน บางครั้งนายโคลินอาจจะไม่เข้าใจ ไม่สามารถแยกแยะได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่สถานกงสุลซึ่งเป็นคนกลางที่เขาให้การเชื่อถือมาร่วมรับฟังเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้เรียกพนักงานสอบสวนทุกคนที่นายโคลินเคยไปแจ้งความหรือร้องทุกข์ไว้มาชี้แจงข้อเท็จจริงในวันที่ 3 มิ.ย.นี้
“เท่าที่ฟังดูบางคดีก็ถึงที่สุดแล้ว พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาซึ่งเป็นภรรยาของนายโคลิน และถูกศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว แต่นายโคลินไม่เข้าใจว่าการที่ภรรยาซึ่งได้รับโอนทรัพย์สินจากนายโคลิน และนำทรัพย์สินไปขายฝาก พอครบกำหนดสัญญาแล้วไม่นำเงินไปไถ่คืน ทรัพย์สินนั้นก็ต้องถูกยึด ผู้ที่รับโอนทรัพย์สินไปหากไม่รู้เรื่องการฉ้อโกงก็ได้สิทธิตามสัญญา อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัดว่าที่อ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากตำรวจนั้นเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องที่นายโคลินระบุว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร จากทางกงสุลของเขานี่เป็นปัญหาสำคัญ เพราะเราต้องหาคนกลางมาร่วมรับฟัง ซึ่งจะให้ตำรวจช่วยประสานให้” ผบ.ตร.ระบุ