ปธ.สหกรณ์เอแบคแจ้งจับ จนท.การเงินและบัญชีของสหกรณ์ฯ พบว่ามีการปลอมเอกสารโกงสมาชิกกว่า 10 ล้าน พบมีการถ่ายโอนเข้าบัญชีตัวเองตั้งแต่ปี 49 เชื่ออาจมีอดีตผู้บริหารสหกรณ์รู้เห็น
วันนี้ (6 พ.ค.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 11.00 น. นายอรรณพ พึ่งเชื้อ ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) พร้อมด้วยผู้เสียหายซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ดังกล่าว รวม 5 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีต่อนางกัญชลิกา กุลพนิชย์ อายุ 47 ปี และ น.ส.พรทิพย์ ดีมารยาตร์ อายุ 34 ปี ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม หลังจากทั้งสองร่วมกันปลอมแปลงเอกสารของสมาชิกสหกรณ์แห่งนี้แล้วนำไปใช้กู้ยืมเงิน จนเกิดความเสียหายนับสิบล้านบาท โดยนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
นายอรรณพกล่าวว่า หลังตนได้รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมาก็ได้ตรวจสอบพบพฤติการณ์ของนางกัญชลิกา และ น.ส.พรทิพย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินและบัญชีของสหกรณ์ พบว่าทั้งสองได้ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารของสมาชิกสหกรณ์นำไปใช้กู้ยืมเงินของสหกรณ์โดยที่ผู้เสียหายไม่ทราบเรื่องซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือประเภทที่ 1 สมาชิกที่ไม่เคยกู้ยืมเงินของสหกรณ์แต่ถูกนำเอกสารไปใช้กู้ยืมเงิน ประเภทที่ 2 คือ กลุ่มที่ได้กู้ยืมเงินของสหกรณ์แต่ถูกเพิ่มยอดเงินกู้เข้าไปจนมีหนี้เกินกว่าความเป็นจริง และประเภทที่ 3 คือ กลุ่มสมาชิกที่กู้ยืมเงินและชำระหนี้เงินกู้ให้กับสหกรณ์จนหมดสิ้นแล้วแต่ยังไม่มีการปิดบัญชีทำให้ยังคงมีหนี้เงินกู้ค้างอยู่รวมแล้วกว่า 140 คน รวมมูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท
นายอรรณพกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังตรวจสอบยังพบอีกว่า มีการถ่ายโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝากส่วนตัว และมีการทำลายเอกสารและลบข้อมูลต่างๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บไว้ ทั้งที่เป็นข้อมูลสำคัญระหว่างทางสมาชิกและสหกรณ์ ส่วนการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่าได้มีการกระทำผิดมาตั้งแต่ปี 2549 หรือเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีเต็ม
นายอรรณพกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ทางผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สน.หัวหมาก ท้องที่เกิดเหตุแล้ว โดยพนักงานสอบสวนได้มีการเชิญตัวทั้งสองมาสอบปากคำ จากนั้นได้พิจารณาดำเนินคดีโดยแจ้งข้อหาและคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญาผลัดฟ้องฝากขัง แต่ระหว่างการพิจารณาดำนินคดี ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวเนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีกหลายราย พวกเราเห็นว่าเรื่องนี้มีความเสียหายเกิดขึ้นจำนวนมาก จึงอยากให้ผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อทางกองบังคับการปราบปรามเพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อผู้ต้องหาทั้งสอง
“แม้ว่าในเบื้องต้นผู้ต้องหาจะรับสารภาพว่าร่วมกันกระทำความผิดจริง โดยทำกันเพียง 2 คน ไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้อง แต่ผมยังไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมีจำนวนมาก และเป็นกรณีที่เกิดขึ้นมานานเกือบ 10 ปีเต็ม อาจจะมีผู้ที่รู้เห็น หรือมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า 2 คน ส่วนกรณีนี้จะมีอดีตผู้บริหารสหกรณ์ หรือพนักงานในระดับใดเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ คงต้องขอให้ทางพนักงานสอบสวนได้เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบ และเอาผิดกับผู้ที่ร่วมกระทำการดังกล่าวต่อไป” ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.กรไชยกล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับเรื่องไว้โดยมอบหมายให้ พ.ต.ต.ณัทปกรณ์ ปัญญาดี พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้เสียหายและตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหลักฐานต่างๆ ไว้ ก่อนจะพิจารณาดำเนินการต่อไป