ผบก.ปอศ.เผยเร่งจับกุมธุรกิจกระทำผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์กว่า 50 แห่ง หลังพบหลักฐานใช้คอมพิวเตอร์ติดตั้งซอฟต์แวร์เถื่อน มูลค่าเสียหายนับล้านบาท
เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (30 เม.ย.) พ.ต.อ.สรรักษ์ จูสนิท ผบก.ปอศ. กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นองค์กรธุรกิจที่กระทำความผิดในการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์มากกว่า 50 แห่ง หลังพบหลักฐานยืนยันการใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาต และใช้สำเนาซอฟต์แวร์ที่ทำขึ้นอย่างผิดกฎหมาย
โดยมีหลายคดีสืบเนื่องมาจากข้อมูลที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งผ่านสื่อดิจิตอล รวมทั้งผ่านการแจ้งจากประชาชนตามช่องทางต่างๆ อาทิ บริษัทแรกเป็นผู้จำหน่ายวัสดุตกแต่งในห้องน้ำ มีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร และมีรายได้ราว 600 ล้านบาทต่อปี พบซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 46 เครื่อง รวมมูลค่าราว 2.5 ล้านบาท บริษัทที่ 2 ให้บริการด้านวิศวกรรมและออกแบบกราฟิก มีรายได้ราว 267 ล้านบาทต่อปี มูลค่าการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์อยู่ที่ราว 3.4 ล้านบาท นับจากซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิที่ถูกติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ 35 เครื่อง บริษัทที่ 3 มีผู้ถือหุ้นชาวไทย ถูกพบว่าใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิมูลค่าราว 18 ล้านบาท เป็นคดีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปีนี้ บริษัทสุดท้ายคือบริษัทออกแบบใน กทม. พบว่าใช้ซอฟต์แวร์ผิดโดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิมูลค่าราว 4.5 ล้านบาท บริษัททั้งหมดนี้ถูกพบว่ามีการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด 136 เครื่อง ทั้งนี้ได้ใช้สื่อดิจิตอลและสังคมออนไลน์เข้ามาช่วยในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มมากขึ้น ข้อมูลที่เราได้รับบางครั้งมาจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม แต่มีรายละเอียดเพียงพอเกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้ตรวจสอบข้อมูล ก็จะดำเนินการเข้าตรวจค้นองค์กรธุรกิจ ซึ่งหากพบว่าบริษัทหรือองค์กรนั้นกระทำความผิดก็จะแจ้งข้อหากระทำผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
พ.ต.อ.สรรักษ์กล่าวต่อว่า ขอแจ้งเตือนไปยังผู้ที่จะกระทำความผิดว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลเสียต่อประเทศ อีกทั้งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ ขณะเดียวกัน หากประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสได้ ทางบก.ปอศ จะมีรางวัลในการนำจับสูงถึง 250,000 บาท โดยสามารถแจ้งผ่านสายด่วนที่ 0-2714-1010 หรือสามารถติดตามได้ที่ www.stop.in.th โดยข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้แจ้งเบาะแสจะถูกปิดไว้เป็นความลับอย่างแน่นอน