รอง ผบ.ตร. ระบุ ปชช. แจ้งครอบครองงาช้างบ้าน 3.8 ราย ร้านค้า 120 ราย งาช้างน้ำหนัก 200 ตัน ส่วนกรณีไซเตสขู่แซงก์ชัน ยังรอผลการพิจารณา แต่เชื่อมีแนวโน้มที่ดี
วันนี้ (23 เม.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปทส.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดให้ประชาชนที่ครอบครองงาช้างบ้านและผลิตภัณฑ์จากงาช้างบ้าน รวมทั้งผู้ค้างาช้างบ้าน มาจดทะเบียนการครอบครองและขออนุญาตค้างาช้างบ้านภายในวันที่ 21 เม.ย. นี้ ภายหลัง พ.ร.บ.งาช้าง พ.ศ. 2558 มีผลบังคับใช้ ปรากฏว่า ขณะนี้มีผู้แจ้งการครอบครองงาช้าง และผลิตภัณฑ์งาช้างบ้าน จำนวนกว่า 38,000 ราย ร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากงาช้างบ้านกว่า 120 ราย ปริมาณงาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้างน้ำหนักรวมกว่า 200 ตัน ตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมผู้แจ้งทางไปรษณีย์ โดยหลังจากนี้ผู้ที่มีงาช้างในครอบครองที่ไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องจะมีความผิดตามกฎหมาย หากตรวจพบมีโทษปรับไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนร้านค้าต้องยื่นคำขออนุญาตต่อ อธิบดีกรมอุทยานฯ และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“ตรงนี้เป็นความรับผิดชอบของกรมอุทยานฯ ในการจัดระเบียบงาช้างบ้านในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.งาช้าง และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉ.3) พ.ศ. 2557 ที่เพิ่งมีผลบังคับใข้ ต่อไปนี้การครอบครอง การเคลื่อนย้าย และการค้างาช้างบ้าน ต้องทำอยู่ในกรอบของกฎหมาย มีการขออนุญาต หรือ จดทะเบียนอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน ในส่วนตำรวจจะเป็นผู้สนับสนุนหลัก หากพบมีการกระทำความผิด มีการร้องทุกข์กล่าวโทษจากกรมอุทยานฯ ก็จะเข้าไปดำเนินการสอบสวนดำเนินคดี รวมถึงขยายผลถึงตัวนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง เชื่อว่ามาตรการต่างๆ เหล่านี้ทำให้ปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมายเบาบางลงไป” รอง ผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวถึงความคืบหน้าการปราบปรามการลักลอบค้างาช้างแอฟริกา หลังประเทศไทยถูกองค์กรอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือ ไซเตส กดดันและเตรียมที่จะมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาของทางไซเตส ภายหลังได้มีการส่งรายงานให้กับทางไซเตสเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานอย่างเต็มที่ ตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ที่มีการบูรณาการการทำงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ รวมทั้งแผนการปฏิบัติต่างๆ ตามคำแนะนำของไซเตส ทั้งนี้ เชื่อว่า มีแนวโน้มที่ดี หลัง นายจอห์น อี.สแกนลอน เลขาธิการไซเตส เดินทางมาเยือนไทย ได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ไทย รวมถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหานี้ และมีความพอใจในการทำงานของทางการไทย อย่างไรก็ตามในเดือน มิ.ย. 2558 ทางไซเตส จะมีการประเมินผลการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติงานแผนต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นว่ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่ ซึ่งเราจะต้องส่งรายงานให้กับทางไซเตส อีกครั้ง