ผบช.ก.มอบนโยบาย พร้อมนำพาองค์กร-ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ได้รับความเชื่อถือเป็นที่พึ่งของประชาชน โดยมุ่งเน้นงานด้านอาชญากรรม ปราบปรามผู้มีอิทธิพล และสร้างระบบฐานข้อมูลให้งานสืบสวนสอบสวน
วันนี้ (23 เม.ย.) ที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่ข้าราชการตำรวจระดับ ผกก.ขึ้นไปในสังกัด บช.ก.
พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า ตนจะมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับที่ได้รับตำแหน่งนี้ จะเป็นผู้นำของตำรวจสอบสวนกลาง นำพาองค์กรและผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกน้องเก่าที่เคยทำงานร่วมกันมาแล้วตั้งแต่สมัยที่อยู่กองปราบปราม โดยส่วนตัวเชื่อมั่นว่าจะมีทีมงานและผู้ที่ปฏิบัติงานที่ดีเพื่อที่จะสนองตอบความคาดหวัง แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์ ชีวิต ร่างกาย มุ่งเน้นงานอาชญากรรมเป็นหลักที่มีผลกระทบความสูญเสียในด้านจิตใจ ร่างกาย อย่างเรื่องการประทุษร้ายต่อทรัพย์ที่มีกระจายไปทั่ว เราต้องพยายามรวบรวมรูปแบบแผนประทุษกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น และจัดตั้งเป็นระบบฐานข้อมูล
พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า ตนจะนำรูปแบบการทำงานที่นครบาลมาปรับใช้ เพราะเรื่องฐานข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนี้ได้มีการสั่งให้ดำเนินการรวบรวมฐานข้อมูลทั่วประเทศอยู่ในแต่ละ บก.เพราะแต่ละ บก.มีแฟ้มข้อมูลเอกสารเก็บไว้เฉพาะตัว โดยจะเอามารวมเป็นฐานข้อมูลสอบสวนกลางให้ได้ เพราะคนร้ายส่วนมากทำแล้วก็ยังทำซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีหน้า AEC จะเปิด เชื่อว่าคนร้ายในประเทศก็จะเชื่อมกับคนร้ายต่างประเทศ เพราะทุกที่ลักษณะของการประทุษกรรมมีลักษณะเชื่อมโยงกัน จะมีการแสวงหาทีมงาน และในเมื่อมีทีมอยู่ต่างประเทศได้ เขาก็จะรู้ว่าทีมในประเทศไทยจะอยู่จุดไหนเป็นใคร ตราบใดที่เรายังไม่มีข้อมูลส่วนนี้ชัดเจน วันหน้าจะสับสนวุ่นวายแน่นอน คิดว่าจะใช้เวลาภายในปีนี้จัดการเรื่องฐานข้อมูลให้เรียบร้อย และน่าจะเป็นหน่วยที่ทำให้พี่น้องประชาชนพึ่งพาได้จริงๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. กระทบต่อชื่อเสียงของตำรวจสอบสวนกลาง ได้กำชับหรือเน้นย้ำกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นก็คงจะไม่กล่าวในรายละเอียด ให้เป็นเรื่องของส่วนบุคคลไป สอบสวนกลางเป็นองค์กรและเป็นบ้านที่หลายคนอยู่ และคนที่อยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นจากนี้ไปส่วนที่เหลือหมายถึงบุคลากรหรือข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ก.ก็มีความรู้สึกอยู่แล้วว่าอยากจะนำบ้านหลังนี้กลับคืนมาให้เป็นที่ชื่นชมยินดีของสังคม โดยส่วนตัวทุกคนมีความรู้สึกตรงกันอยู่แล้ว ไม่น่าจะยาก ในส่วนของ ผบช.ก็คงจะเป็นแบบอย่างและผู้นำที่ดี ใช้ใจเป็นส่วนใหญ่ เพราะหลายคนอย่างที่บอกเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าอยู่แล้ว คงไม่ต้องสั่งอะไรกันมาก
“อย่างที่แถลงนโยบายเป็นเรื่องรูปแบบของราชการที่ต้องการให้ทราบ คือ เรื่องสมาร์ท เป็นสมาร์ทโมเดล ให้เข้าใจง่ายๆ คือ คนที่อยู่ บช.ก.ต้องมีความสมาร์ทในด้านบุคลิกภาพการเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็น ผบก., รอง ผบก., ผกก. ตลอดจนสารวัตร ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของลูกน้องอันดับแรกเลย ต่อจากนั้นเชื่อถือศรัทธาในการทำงาน คือต้องทำงานเป็นทีม เพื่อนำพาทีมออกไปทำงานในภาคสนามให้เป็นที่ศรัทธาของประชาชนได้ นี่คือสิ่งที่เราจะทำให้เกิดขึ้น” ผบช.ก.กล่าว
เมื่อถามว่านโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหนึ่งในนโยบายที่มอบไว้ ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับคดีระเบิดที่เกาะสมุย ตรงนี้ในส่วนที่ บช.ก.รับผิดชอบ มีความคืบหน้าอย่างไร พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า เรื่องนี้ทางสอบสวนกลาง หรือกองปราบปรามก็มีข้อมูลอยู่แล้ว โดยเฉพาะส่วนตัวเคยลงไปทำคดีปล้นปืนสมัยเป็นรอง ผบก.ป. วันนี้คดีความมั่นคงก็มีหลายหน่วยงานร่วมกันทำ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ (ศชต.) ก็ต้องยอมรับว่าขณะนี้มีฐานข้อมูลดีมาก โดยเฉพาะ ผบช.คนใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานต้องมีฐานข้อมูลบวกกับขีดความสามารถเข้าไป จะทำให้การทำงานสืบสวนบรรลุเป้าหมายได้เร็ว ไม่ใช่คิดเอาเองหรือทำแบบไม่ถูกต้อง
“ในส่วนของคดีความมั่นคง เราก็มีกำลังไปสนับสนุนช่วยในการทำคดีอยู่แล้ว แต่จริงๆอย่างที่บอก ชาวบ้านตอนนี้เดือดร้อนเยอะมากในสังคม เกือบจะทุกเรื่องและทุกประเภท ที่ยกตัวอย่างให้ฟังในเรื่องของการควบคุมอาชญากรรม คุ้มครองผู้บริโภค ว่าเครื่องอุปโภคบริโภคปลอมทุกอย่าง ขนาดน้ำปลายังปลอม ซึ่งทั้งหมดไม่เกี่ยวกับกองปราบ แต่อยากให้ฟังว่า ปคบ.ถ้าจะทำอะไรทำได้เยอะเลย ประเทศไทยตอนนี้มีปลอมทุกอย่าง แม้แต่ของเด็ก เช่น นม เครื่องใช้ของเด็ก เพราะอันตราย ผู้หญิงที่รักความสวยความงาม เครื่องสำอางต่างๆที่ผู้หญิงใช้ มีอะไรปลอมแปลงไหม พวกนี้คือส่งผลร้าย เอาเปรียบ และได้กำไร ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเป็นเรื่องเฉพาะทางจริงๆ ทุกคนต้องไปศึกษาหาข้อมูลภาคสนามให้ได้” พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าว
เมื่อถามถึงนโยบายการปราบปรามของผู้มีอิทธิพล พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวว่า เราเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพสูงมาก เป็นหน่วยที่รักษากฎหมาย รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม จะไม่ใช้อำนาจโดยไม่จำเป็น ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอิทธิพล ให้ปรับสภาพการดำรงชีวิต
“แจ้งเตือนแล้วกัน อะไรที่ไม่ถูกไม่ต้อง ข่มเหงรังแกผู้คนอย่าทำเลย ไม่ดี หลังจากเตือนแล้วยังไม่ทำ สอบสวนกลางก็คงไม่ละเว้นแน่นอน ต่อไปนี้ถ้ามีคดีเกิดขึ้นที่ไหน เบื้องหลังเกี่ยวข้องความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ตรงนี้ขอสงวนรายละเอียดไว้ก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนทางหลวงผู้ที่มีอิทธิพลต่างๆ เป็นใครบ้างอยู่ที่ไหน ไปไหนเป็นขบวน เตรียมตัวได้เลย ผมไม่ออกหมายค้นที่บ้าน แต่จะค้นในรถเลย เพราะบางทีเอ็ม 16 อาก้า ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทั้งหมดมีเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว อยากให้ทราบและถือโอกาสแจ้งเตือน ถ้าสามารถปรับวิถีการดำรงชีวิตได้เป็นการดีที่สุด เพราะเราก็ไม่อยากไปทำให้ใครต้องเดือดร้อนติดคุกติดตะรางโดยไม่จำเป็น ถือว่าแจ้งเตือนแล้ว” ผบช.ก.กล่าว