รมว.ยุติธรรม รับลูก คสช. กำชับหน่วยงานกระทรวงตราชั่ง เร่งแก้ปัญหาบุกรุกป่า การค้ามนุษย์ ชี้หมักหมมมานาน รัฐบาลเก่าหรี่ตาไม่กล้าแก้ไข พร้อมเผย ป.ป.ท. ส่งรายชื่อข้าราชการเอี่ยวทุจริต 100 ราย ให้ทราบภายในสัปดาห์นี้
วันนี้ (9 เม.ย.) ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 44 ออกคำสั่งโดยหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 4/2558 เรื่องมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวมว่า ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมมีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายดูแลปัญหาบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับตนให้เร่งจัดการแก้ปัญหาโดยเร็ว โดยต้องยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวหมักหมมมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลจากการเลือกตั้ง คนที่ออกมาพูดต่อต้านรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 ก็เกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหา
“ตั้งแต่เป็น รมต. คสช. ไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของใคร ไม่เคยพาดพิงถึงใคร สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้รัฐบาลชุดของพวกท่านแก้ไม่ได้ เรากำลังจะแก้ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ผมเข้ามาในลักษณะนี้ก็ต้องมีของวิเศษในการทำงานในช่วงเวลาสั้น ถ้าไม่มีเรื่องหมักหมม มีแต่การพัฒนาประเทศอย่างเดียว จะทำให้มีเวลาคิดได้มากกว่านี้ แต่พบว่าปัญหาเกินกว่าครึ่งที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเข้ามาแก้ไข ทั้งเรื่องค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก เป็นปัญหามาจากรัฐบาลชุดเดิม แต่รัฐบาลนี้กลับถูกตำหนิว่าบริหารประเทศไม่เป็น ส่งออกไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องใช้มาตรา 44 เข้ามาจัดการ เรื่องปัญหาบุกรุกป่าไม้มีการเข้าไปก่อสร้างอาคารสูงในป่า ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาจะมองไม่เห็น” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
นอกจากนี้ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวถึงการส่งรายชื่อข้าราชการที่มีส่วนพัวพันกับการทุจริตให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาปรับย้ายจากตำแหน่ง ว่า ภายในสัปดาห์นี้ นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) จะต้องรวบรวมรายชื่อเสนอมายังกระทรวงยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอเปิดเผยว่ารายชื่อข้าราชการทั้ง 100 รายชื่อ สังกัดหน่วยงานใด หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการใด ในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับส่วยน้ำมันเถื่อน และการเรียกรับผลประโยชน์ในภูมิภาคต่างๆ แต่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายให้มีตำแหน่งดีขึ้นนั้น เป็นหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอต้องพิจารณา หากต้องการให้ตนเข้าไปดำเนินการอาจถูกตำหนิว่ารัฐมนตรีเข้าไปล้วงลูก แต่ถ้าอธิบดีดีไม่ดำเนินการตามหน้าที่ ก็ต้องสั่งย้ายอธิบดี