ตำรวจแถลงจับกุมแก๊งหลอกเช่ารถ จากบริษัทให้เช่ารถยนต์ แล้วเอาไปให้ช่างตัดสัญญาณจีพีเอส ก่อนชำแหละหรือส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน ผงะเจอรถยนต์ของกลางอีก 16 คัน ซุกภายในเต็นท์รถมือสองของคนร้าย จึงแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้อุบายและรับของโจร
เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (14 มี.ค. ) พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.พงษ์พันธุ์ วรรณภักตร์ ผบก.น.1 พ.ต.อ.กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ผกก.สน.ห้วยขวาง และ พ.ต.ท.คณธัช มุสิกานนท์ รอง ผกก.สส.สน.ห้วยขวาง ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม น.ส.ภูริตา มณีมาศ อายุ 25 ปี นายปิยะวัฒน์ เกตุนาค อายุ 35 ปี นายสุริยาวุธ นามพุทธา อายุ 28 ปี นายกวางเจิง แซ่เจา อายุ 20 ปี สัญชาติจีน พร้อมของกลางรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีเทา หมายเลขทะเบียน 3 กฆ 4574 กทม. รถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ซ สีเขียว หมายเลขทะเบียน 3 กฐ 7754 กทม. รถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซีอาร์วี หมายเลขทะเบียน 1 กษ 4644 กทม. อุปกรณ์ติดตามรถยนต์ (จีพีเอส) จำนวน 5 เครื่อง โทรศัพท์มือถือไอโฟน 1 เครื่อง กระเป๋าสะพายสีเหลือง 1 ใบ เงินสด จำนวน 689,900 บาท และเครื่องมือช่างจำนวน 2 กล่อง โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณเต็นท์รถไม่มีชื่อ ถนนเทียมร่วมมิตร แขวงและเขตห้วยขวาง เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา
พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ กล่าวว่า เนื่องจาก น.ส.ศิวาพร ตั้งรุ่งเรืองอยู่ อายุ 39 ปี ผู้เสียหายซึ่งประกอบกิจการเกี่ยวกับเช่ารถ ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ ว่า น.ส.ณภาภัช พันธ์เพิ่มเจริญกิจ อายุ 35 ปี นายธนาธิป พันธ์เพิ่มเจริญกิจ อายุ 42 ปี สองสามีภรรยา และ นายลักษณ์ศักดิ์ แก้วกันเนตร์ อายุ 37 ปี มาขอเช่ารถที่เต็นท์รถ 3 คันดังกล่าวไป แต่เมื่อถึงกำหนดหมดสัญญาเช่ากลับไม่มีการส่งรถคืน จึงตามหารถด้วยระบบจีพีเอส ก็พบว่ารถที่เช่าไปอยู่ที่เต็นท์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจึงเข้าตรวจสอบโดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก เมื่อมาถึงพบรถทั้ง 3 คันอยู่ในเต็นท์จริง โดยมีนายปิยะวัฒน์ นายสุริยาวุธ และ นายกวางเจิง ผู้ต้องหา กำลังรื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์จีพีเอสรถอยู่ ขณะที่ น.ส.ภูริตา นั้นกำลังนั่งอยู่ในรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า แจ๊ซ สีเขียวดังกล่าว ซึ่งเมื่อตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของ น.ส.ภูริตา ก็มีการส่งข้อความทางโปรแกรมไลน์ว่า “แกะระบบติดตามแล้ว” เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไว้ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจภายในเต็นท์รถดังกล่าวยังพบของกลางเป็นรถยนต์อีก 16 คัน โดย 2 คันเป็นการจอดฝากขาย ส่วนอีก 14 คันนั้นยังติดไฟแนนซ์อยู่ จึงยึดไว้ตรวจสอบ ทั้งนี้ เมื่อสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดก็ทราบว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีการทำกันเป็นขบวนการ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ น.ส.ณภาภัช กับ นายธนาธิป สองสามีภรรยา และ นายลักษณ์ศักดิ์ จะเป็นผู้ไปเช่ารถจากบริษัทที่เปิดให้บริการรถเช่าจากที่ต่างๆ จากนั้นก็จะนำมาให้กลุ่มที่ 2 คือ นายกิตติภัฏ หรือ ตี๋ สมิติวิวรรณ อายุ 27 ปี กับ น.ส.ภูริตา ซึ่งเป็นแฟนกัน เป็นผู้ขับรถมาให้กลุ่มที่ 3 คือ นายปิยะวัฒน์ กับ นายสุริยาวุธ และนายกวางเจิง ทำการถอดอุปกรณ์ชิ้นส่วนจีพีเอสออก ทั้งนี้ หลังเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คนได้ที่เต็นท์ดังกล่าวแล้ว น.ส.ณภาภัช ก็ได้เข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทางเจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวชั่วคราวไป ทั้งนี้ ทางพนักงานสอบสวนจะเรียกตัวมารับทราบข้อหาในภายหลัง ถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วน นายธนาธิป นายกิตติภัฎ และนายลักษณ์ศักดิ์ ที่ยังหลบหนีอยู่นั้น ทางพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายหรือรับของโจรต่อไป ทั้งนี้ จะตรวจสอบในเรื่องรับจำนำ หรือรับซื้อขายรถมือสองด้วยว่า กลุ่มผู้ต้องหามีความผิดตาม พ.ร.บ.รับจำนำ กับ พ.ร.บ.ค้าของเก่า ด้วยหรือไม่ เนื่องจากไม่พบว่ามีใบอนุญาตแต่อย่างใด
จากการสอบสวน นายปิยะวัฒน์ ให้การรับสารภาพว่า ตนรู้จักกับนายกิตติภัฏ หรือ ตี๋ ก็เนื่องจากเจ้าตัวเป็นลูกค้าประจำนำรถมาให้ซ่อมบ่อยครั้ง จากนั้นเมื่อ 3 เดือนก่อน ก็มาติดต่อขอให้ตรวจสอบและตัดระบบจีพีเอสให้จำนวน 3 คัน โดยจะมีการนัดตามสถานที่ทั่วไป เช่น ที่บ้านพักย่านลาดกระบัง ของนายตี๋ จนมาเดือนนี้ได้นำรถจำนวน 13 คัน มาให้ตัดระบบจีพีเอส โดยนัดรับส่งรถยนต์และตรวจสอบ ที่บริเวณเต็นท์แห่งนี้ ซึ่งตนจะได้ค่าจ้างคันละ 1,500 บาท ที่ทำไปนั้นตนคิดว่านายกิตติภัฏ ทำธุรกิจเกี่ยวกับเต็นท์รถ เพราะมีรถมาให้ตรวจมาก จึงไม่ได้เอะใจอะไร ส่วนสาเหตุที่ทำไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่องทางหารายได้เพิ่ม และนายกิตติภัฏเองก็อ้างกับตนว่าที่ต้องตัดสัญญาณติดตามรถ เพราะรับซื้อรถมือสองมาแล้ว มีเจ้าของเก่ามาตามเอารถคืนบ่อยครั้ง
ด้าน น.ส.ศิวาพร ตั้งรุ่งเรืองอยู่ ผู้เสียหาย กล่าวว่า ฝากเตือนผู้ที่ทำธุรกิจให้เช่ารถด้วยว่า ให้เพิ่มความระมัดระวังมากขั้น เช่น เรื่องเอกสารสัญญาเช่า เพิ่มระบบป้องกัน หรือเพิ่มเงินมัดจำ ตรวจสอบประวัติผู้เช่าหรือผู้ค้ำว่ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งหรือไม่
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า สำหรับรถที่กลุ่มคนร้ายเหล่านี้ลักไปนั้น อาจจะนำไปใส่ทะเบียนซ้อน หรืออาจส่งไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านในราคาถูก หากเป็นรถที่หาอะไหล่ยาก ก็อาจจะนำมาชำแหละแยกชิ้นส่วนขายเป็นอะไหล่ จึงอยากฝากเตือนให้ผู้ที่ประกอบกิจการรถเช่าด้วยว่า ให้ตรวจสอบที่มาที่ไปของผู้ที่มาติดต่อขอเช่ารถให้ละเอียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรถที่ปล่อยเช่าเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์นั้น ควรจะต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น เช่น ควรจะมีผู้ค้ำประกันด้วย เนื่องจากใช้เงินวางมัดจำจำนวนไม่มากนัก