สลด! เสี่ยธุรกิจสิ่งพิมพ์ เขียนจดหมายลาก่อนลั่นไกจบชีวิตในรถเก๋ง บริเวณซอยแจ้งวัฒนะ 12 ตร.คาดเครียดปัญหาส่วนตัว
วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.30 น. พ.ต.ท.สุบรรณ์ อธิเศรษฐ์ พนักงานสืบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเสียชีวิตภายในรถยนต์ ภายในซอยแจ้งวัฒนะ 12 แยก 16-3 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.เดิมเผ่า สิริภูบาล ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง พ.ต.อ.ธรรศธรรม นาคมณี พงส.ผทค.สน.ทุ่งสองห้อง กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ภศ 4973 กทม.จอดอยู่ข้างทาง ภายในรถพบศพนายสุรพงษ์ โกลิลานนท์ อายุ 68 ปี อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ นอนเสียชีวิตอยู่ สวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตแขนยาวสีแดง กางเกงลูกฟูกขายาว สีดำ มีบาดแผลถูกยิงที่ขมับด้านขวาทะลุด้านซ้าย จำนวน 1 นัด มือขวากำอาวุธปืนขนาด .22 มม. ยี่ห้อสมิทแอนด์เวสสัน หมายเลขทะเบียน กท 411216 นอกจากนี้ยังพบแผ่นกระดาษที่ระบุว่าให้ติดต่อหาคุณสุพจน์ ที่หมายเลข 08-1615-4153 และ 0-2982-7498 และสมุดจดบันทึกภายในรถดังกล่าวระบุว่า “ผมเบื่อหน่ายชีวิตมาก ไม่ประสงค์จะอยู่ต่อไปแล้ว จึงได้ทำตัวเอง เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องชันสูตรหรอกครับ ผมขอโทษทุกๆ คนในครอบครัว โดยเฉพาะเบญนะ ที่ต้องทำอย่างนี้ ขอโทษคุณสุพจน์ที่หยิบปืนมาโดยพลการ เมย์ พ่อไม่ได้เป็นหนี้บุคคลภายนอกเลย ยกเว้นบัตรเครดิต อย่าให้ใครมาแอบอ้าง เอาไปปลงศพที่วัดพระหฤทัย ศรีราชาเลย เอกสารต่างๆ อยู่ที่ลิ้นชักหัวนอน รักทุกคน” เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
จากการสอบสวน น.ส.ทิพย์สุธา อุดมศรี อายุ 53 ปี ผู้พบศพเป็นคนแรก เล่าว่า เมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่มของวันที่ 14 ก.พ. ตนเองนั่งจักรยานยนต์รับจ้างผ่านมาตรงจุดเกิดเหตุ พบรถคันดังกล่าวเปิดไฟเลี้ยวซ้ายจอดอยู่ข้างทางแต่ไม่ได้คิดอะไร ต่อมาเมื่อช่วงเช้าเวลาประมาณ 09.00 น. ตนเองเดินผ่านตรงจุดเดิมเห็นรถคันดังกล่าวยังจอดอยู่ที่เดิมก่อนจะเดินผ่านไป นึกสงสัยจึงเดินกลับมาชะโงกดูภายในรถเห็นคนขับนั่งคอพับอยู่และเห็นรอยเลือดจึงได้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าผู้ตายอาจเกิดความเครียดเรื่องปัญหาส่วนตัว ประกอบกับผู้ตายเพิ่งออกจาก รพ.จุฬาภรณ์ กระทั่งตัดสินใจก่อเหตุสลดดังกล่าว ทั้งนี้คงต้องรอสอบปากคำญาติและผู้ใกล้ชิด ก่อนนำศพส่งสถาบันนิติเวชเพื่อผ่าพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงต่อไป