โฆษก ตร.แถลงจับ 6 ผู้ต้องหา ผู้ร่วมเครือข่าย และเป็นผู้ดูแลระบบเพจที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบัน เครือข่าย “บรรพต” ตั้งแต่ปี 54 ชี้เข้าข่ายองค์กรอาชญากรรม ส่งตัวข้าราชการกรมสรรพากร เป็นผู้แลการเงินของเครือข่ายให้ดีเอสไอดำเนินคดี ส่วนตัวการใหญ่หนีออกนอกประเทศ
วันนี้ (2 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) พร้อมด้วย พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายดำรงค์ ชาญสิทธิโชค หรือลิขิตชีวะ, น.ส.ศิวาพร ปัญญา, นายเงินคูณ อุดมคุณากร, นายไพศิษฐ์ จิรประดับวงศ์ อายุ 45 ปี, นางอัญชัญ ปรีเลิศ และนายธารา วานิชพงษ์พันธุ์ ผู้ร่วมเครือข่าย และเป็นผู้ดูแลระบบเพจที่ใช้ในการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบัน
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ตำรวจร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มดังกล่าวมีการกระทำผิดร่วมกันเป็นเครือข่าย ใช้สื่อสังคมออนไลน์กระทำความผิดกฎหมายเป็นสื่อยุยงปลุกปั่น ให้เกิดความวุ่นวาย บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ผลิตสื่อในรูปแบบซีดี คลิปเสียง และบทความออกมาเผยแพร่ตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเป็นการหยุดยั้งพฤติการณ์ของเครือข่าย “บรรพต” ซึ่งถือว่ามีการกระทำผิดมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและสถาบันหลักของประเทศ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนจนสามารถจับกุมบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายได้
ด้าน พล.ต.ต.ศิริพงษ์กล่าวว่า จากการติดตามและสืบสวนพบว่า ตั้งแต่ปี 2554 มีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์บ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเรียกว่าเครือข่าย “บรรพต” เป็นการรวมกลุ่มบุคคลที่มีแนวความคิดที่ต้องการล้มล้างสถาบันพระกษัตริย์จัดตั้งเครือข่ายแบ่งหน้าที่ทำงานโดยใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวคิดไปสู่ประชาชนเพื่อบรรลุวัตถุเป้าประสงค์ดังกล่าว สำหรับขบวนการนี้มีลักษณะองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งระดับชั้นของการทำงานและสั่งการเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นผู้นำหรือผู้บงการ เป็นผู้ผลิตแนวความคิดในรูปแบบของสื่อซีดี คลิปเสียง และบทความระดับปฏิบัติงานซึ่งรับฟังและช่วยกันเผยแพร่แนวความคิดตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทิวบ์ และบล็อกเกอร์ และระดับแนวร่วม มีหน้าที่สนับสนุนทางด้านการเงิน รวมทั้งเผยแพร่แนวความคิดไปในวงกว้างส่งผลให้มีบุคคลหลงเชื่อจำนวนหนึ่ง
พล.ต.ต.ศิริพงษ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับนายดำรงค์ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลระบบ หรือ แอดมินของเพจ ที่ใช้เผยแพร่ข้อมูลในลักษณะหมิ่นสถาบันฯ ขณะที่นายไพศิษฐ์มีพฤติการณ์เป็นบุคคลสำคัญในการเผยแพร่ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปต่างๆ ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ ส่วน น.ส.ศิวาพรมีพฤติการณ์เผยแพร่ข้อความและภาพหมิ่นสถาบันฯ มานาน มีการติดต่อกับกลุ่มผู้ที่มีแนวคิดทางลบกับสถาบันฯ ในส่วนของนางอัญชัญเป็นข้าราชการกรมสรรพากร เป็นผู้แลการเงินของเครือข่าย ทั้งที่ได้จากการขายสินค้าต่างๆ และรับการสนับสนุนมาจากบุคคลในเครือข่าย และนายธาราเป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นสถาบันฯ มีพฤติการณ์หลอกลวงหาเงินกับบุคลอื่นโดยนำผลิตภัณฑ์ในเครือข่าย โดยเฉพาะจากนางอัญชัญมาจำหน่ายต่ออีกทอด สถานภาพอยู่ในระดับแนวร่วมที่แสวงหาผลประโยชน์จากธุรกิจของเคตรือข่าย แต่ถือว่าเป็นผู้ที่เผยแพร่มากกว่าแนวร่วมตนอื่น
“จากการสืบสวนพบว่าบุคคลในเครือข่ายนี้่ได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ แบ่งหน้าที่กันทำ มีการพบปะ หรือประชุมลับกันอยู่เป็นระยะ และพยายามใช้ข้อมูลจริงเพียงบางส่วนมาผสมกับข้อมูลเท็จ มาทำให้คนหลงเชื่อในทางไม่ถูกต้องสำหรับนางอัญชัญ และนายธารา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปดำเนินคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว เนื่องจากมีพยานหลักฐานสำคัญชัดเจนผู้ต้องหาจึงจำนนต่อหลักฐานและในการรับสารภาพ หลังจากนี้ทางดีเอสไอจะร่วมกับ ปปง.ทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายนี้ด้วย” ผบก.ปอท.กล่าว และว่าสำหรับผู้บงการที่ใช้ชื่อว่า “บรรพต” นั้น เบื้องต้นทราบว่าได้หลบหนีออกไปนอกประเทศ แต่ยังคงมีการผลิตสื่อที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ แล้วนำมาให้เครือข่ายเผยแพร่ต่อ เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการสืบสวนจับกุมรวมถึงบุคคลในเครือข่ายซึ่งบางส่วนได้หลบหนีไปต่างประเทศแล้วมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ฝากเตือนผู้ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มเครือข่ายบรรพต ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงิน หรืออุดหนุนสินค้าต่างๆ ที่นำมาจำหน่ายขอให้งดการกระทำ เพราะมิฉะนั้นอาจมีความผิดร่วมด้วย
ด้านนายดำรงค์กล่าวว่า อยากฝากเตือนผู้ที่รับฟังข้อมูลหรือรับสื่อจากแหล่งต่างๆ ที่มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความชอบส่วนตัว อย่าได้มีการเผยแพร่สื่อเหล่านั้นต่อไป เพราะเป็นความผิด รวมทั้งผู้ที่กระทำการใดๆ ก็ตามที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันฯ อยากขอให้เลิกพฤติกรรมดังกล่าวด้วย