xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาจำคุก 3 ปี “ภคพร” ข่มขู่อ้างหลับนอนกับอดีต รมช.มหาดไทย

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี “ภคพร สันทาลุนัย” อดีตลูกจ้างโยธา หมิ่นประมาท - แจ้งความเท็จ อ้างหลับนอนกับอดีต รมช.มหาดไทย ข่มขู่เรียกรับเงิน และให้ชดใช้ค่าเสียหาย 1 ล้านบาท

วันนี้ (21 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ห้องพิจารณาคดี 803 ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ ด.940/2546 ที่ นายสมบัติ อุทัยสาง อายุ 79 ปี อดีต รมช.มหาดไทย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ภคพร สันทาลุนัย อายุ 39 ปี อดีตลูกจ้างประจำสำนักงานผังเมืองและโยธาธิการ จังหวัดตราด เป็นจำเลยความผิดฐานกรรโชกทรัพย์, รีดเอาทรัพย์, แจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338, 172, 174 มาตรา 326 และ 328 พร้อมขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด จำนวน 50 ล้าน



คดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างวันที่ 10 พ.ย. 2545 - 14 ม.ค. 2546 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยขู่เข็ญโจทก์ว่าจะเปิดเผยเรื่องที่โจทก์กับจำเลยร่วมประเวณีกันที่โรงแรมประดิพัทธ์ ย่านสะพานควาย แก่ภรรยาและคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง หากโจทก์ไม่จ่ายเงินตามที่เรียกร้อง ซึ่งภายหลังทราบว่าจำเลยเตรียมกระดาษทิชชูเช็ดเอาคราบอสุจิที่ตกค้างอยู่ภายในอวัยวะเพศไปเก็บแช่ไว้ในตู้เย็น เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่ามีการร่วมประเวณีกับโจทก์ เพื่อต่อรองเรียกร้องเงินจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก 4 ปี ฐานรีดเอาทรัพย์ มาตรา 338 ฐานแจ้งความเท็จ มาตรา 172 จำคุก 2 ปี ฐานหมิ่นประมาท มาตรา 326 และ 328 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 3 ข้อหา เป็นเวลา 7 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ขณะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องในข้อหารีดทรัพย์และหมิ่นประมาท แต่คงจำคุกในข้อหาแจ้งความเท็จเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทและรีดทรัพย์ ขณะที่จำเลยยื่นฎีกาขอให้ศาลยกฟ้องและให้รอการลงโทษ

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ เห็นว่า หลังเกิดเหตุจำเลยได้แจ้งความดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดฐานกระทำชำเรา แต่ในชั้นพนักงานสอบสวนและอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องโจทก์ แม้ต่อมาจำเลยจะยื่นฟ้องโจทก์ด้วยตนเองเป็นคดีอาญาในความผิดฐานกระทำชำเรา แต่คดีถึงที่สุดเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ขณะที่คดีนี้ก็มีพนักงานโรงแรมเป็นพยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุเป็นคนปิดม่านรูดและเปิดแอร์ในห้องพัก ซึ่งโจทก์ได้สั่งอาหารและเครื่องดื่มเบียร์มารับประทาน ขณะนั้นพยานก็ไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของจำเลยหรือร้องไห้แต่อย่างใด นอกจากนี้ ในช่วงเกิดเหตุโจทก์มีอายุ 67 ปี ส่วนจำเลยมีอายุ 27 ปี แม้ว่าโจทก์จะตัวใหญ่กว่าจำเลย แต่หากจำเลยขัดขืนโจทก์ก็คงไม่สามารถนำอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของจำเลยได้ อีกทั้งข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยก็เคยแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลอื่นในลักษณะเดียวกันนี้ โดยมีการเก็บทิชชูและผ้าปูที่นอนที่มีคราบอสุจิไว้ แต่คดีดังกล่าวสามารถตกลงกับคู่ความได้โดยชำระเงินให้จำเลย 1.2 แสนบาท ต่อมาก็มีการถอนแจ้งความ และเมื่อคดีนี้ยังปรากฏพฤติการณ์ว่าจำเลยได้เก็บทิชชูและกางเกงในของจำเลยที่เปื้อนคราบอสุจิไว้ในตู้เย็นก่อนที่จะไปแจ้งความดำเนินคดีหลังเกิดเหตุนานถึง 53 วัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้มีการเตรียมวิธีการเป็นอย่างดี ซึ่งตามคำเบิกความของโจทก์ระบุว่า จำเลยได้โทรศัพท์มาขอค่าเทอมในการศึกษาปริญญาตรีเป็นเงินจำนวน 2 หมื่นบาท โดยนัดพบกันที่ตลาด อ.ต.ก. ก่อนจะขับรถไปโรงแรมย่านประดิพัทธ์ จากนั้นก็ได้มีเพศสัมพันธ์กับโจทก์ ซึ่งขณะนั้นหากจำเลยจะหลบหนีออกมาจากห้องพักขณะโจทก์เข้าห้องน้ำก็ย่อมสามารถทำได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยฐานแจ้งความเท็จนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ส่วนที่โจทก์ให้ลงโทษจำเลยฐานรีดทรัพย์นั้นเห็นว่า หลังจากที่มีการแจ้งความก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าให้การต่อพนักงานสอบสวน พฤติการณ์ของจำเลยที่มีการรีดเงินนั้นจึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ส่วนความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นเห็นว่า ที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ให้ข่าวแก่สื่อมวลชลเองนั้นเห็นว่า ตามพฤติการณ์ไม่อาจเป็นไปได้ที่โจทก์จะให้ข่าวที่เป็นการให้ร้ายต่อตนเอง ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงข้อความพาดหัวในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่ลงข่าวอย่างต่อเนื่องพบว่า มีเนื้อหาที่ตรงกับคำเบิกความของจำเลย ดังนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการหมิ่นประมาท ที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลรอการลงโทษนั้นเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยเป็นที่น่ารังเกลียดและเป็นภัยต่อสังคม จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้จำคุกจำเลยฐานหมิ่นประมาทด้วยอีกกระทงหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี ตาม ป.อาญา ม.328 เมื่อบวกโทษฐานแจ้งความเท็จที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 2 ปีนั้น รวมโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแค่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันถัดฟ้อง และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ แนวหน้า และ เนชั่น เป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน โดยให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและค่าทนายความของโจทก์ด้วย

ด้านนางรัศมี ไวยเนตร ทนายความของน.ส.ภคพร เผยว่า ตนและลูกความยอมรับในคำพิพากษาศาลฎีกาแต่ไม่เห็นพ้องด้วย ตนรับผิดชอบคดีนี้มาตั้งแต่เมื่อครั้งได้รับมอบหมายจากสภาทนายความ ได้สอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เห็นว่าน.ส.ภคพรถูกล่วงละเมิดทางเพศจริง ส่วนคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้น.ส.ภคพรก็เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วย จากนี้จะหาหนทางทุกอย่างเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่น.ส.ภคพร รวมถึงการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษว่าจะสามารถกระทำได้หรือไม่ ปัจจุบันน.ส.ภคพรยังคงเป็นลูกจ้างประจำที่สำนักงานผังเมืองและโยธาธิการจังหวัดตราดเช่นเดิม โดยมีภาระต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่กำลังลำบากจากอาการป่วยอีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุก น.ส.ภคพร ก็ยังมีสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป















กำลังโหลดความคิดเห็น