xs
xsm
sm
md
lg

ฝากขังหนุ่มเกาหลีใต้อุ้มเพื่อนร่วมชาติรีดค่าไถ่ 2 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายคิม ซึง ซอล ผู้ต้องหาตามหมายจับ
กองปราบฯ คุมตัวผู้ต้องหาเกาหลีใต้อุ้มเพื่อนร่วมชาติเรียกค่าไถ่ไปฝากขัง ขณะที่ผู้ต้องหามีอาการเครียด เกรงคนเกาหลีเข้าใจผิดหลังจากตกเป็นข่าวในเชิงเสียหาย

วันนี้ (14 ม.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีแก๊งเรียกค่าไถ่อ้างตัวเป็นตำรวจจับเหยื่อชาวเกาหลีใต้ไปเรียกค่าไถ่จำนวน 2 ล้านบาท ก่อนแผนแตก เพราะญาติผู้เสียหายแจ้งความกองปราบปราบ ทำให้แก๊งคนร้ายปล่อยเหยื่อเกาหลีใต้ที่ห้างซีคอนสแควร์แล้วแยกย้ายกันหลบหนี ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัว นายคิม ซึงซอล ได้เมื่อคืนวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.ควบคุมตัว นายคิม ซึงซอล ผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์ กักขังหน่วงเหนี่ยว และลักทรัพย์ในเคหสถาน มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่กองบังคับการปราบปราม โดยใช้เวลาในการสอบสวนประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนนำตัวไปยังศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขออำนาจศาลฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน พร้อมกับคัดค้านการประกันตัว

จากการสอบปากคำเบื้องต้น นายคิม ซึงซอล ผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าข่าวที่ออกมาจากสื่อต่างๆ เป็นการเข้าใจผิด ส่วนเรื่องที่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปจับกุมผู้เสียหายชาวเกาหลีใต้ทั้ง 3 คนนั้นก็ไม่เป็นความจริง

ทั้งนี้ หลังจากถูกจับกุมแล้วเป็นข่าวออกไป นายคิม ซึงซอล มีอาการเครียดมาก เกรงว่าคนเกาหลีใต้ที่ดูข่าวจะเข้าใจตัวนายคิมผิด เนื่องจากคนเกาหลีใต้ค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องการตกเป็นข่าวในเชิงเสียหาย ทั้งนี้เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้เป็นมาเฟียอย่างที่ตกเป็นข่าว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวถึงการจับกุมนายคิม ซึงซอล อายุ 44 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ฐานร่วมกันกรรโชก, หน่วงเหนี่ยวกักขัง และลักทรัพย์ในเคหสถาน โดยร่วมกับนายโช ซองซอย และกลุ่มชายฉกรรจ์อีกกว่า 10 คน ที่อ้างตัวเป็นตำรวจ อุ้มเรียกค่าไถ่ผู้เสียหายชาวเกาหลี 3 คน

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหา นายโชได้นำกลุ่มชายฉกรรจ์ บุกเข้าไปในห้องพักของกลุ่มผู้เสียหายภายในซอยปรีดีพนมยงค์ 14 และข่มขู่ว่ากลุ่มผู้เสียหายกระทำความผิด ก่อนจะพาตัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง คล้ายที่ทำการของตำรวจ จากนั้นนายคิมทำหน้าที่เจรจาต่อรองให้ผู้เสียหายมอบเงินให้กลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 2 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกดำเนินคดี ก่อนจะพาผู้เสียหายทั้งหมดไปกักตัวไว้ที่ห้องพักแห่งหนึ่งซึ่งผู้เสียหายได้โอนเงินให้กลุ่มผู้ต้องหาแล้ว 2 แสน 1 หมื่นบาท และได้เงินจากที่ค้นในห้องพักผู้เสียหายอีก 5 แสนบาท

จากการสอบสวนนายคิม ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ โดยยอมรับว่ารู้จักกับนายโชและได้รับการติดต่อให้ไปช่วยประกันชาวเกาหลีที่สถานีตำรวจเท่านั้น ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการเรียกค่าไถ่ ขณะที่ตำรวจได้ออกหมายจับนายโช ซองซอย และเตรียมส่งหมายจับให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในวันนี้ แต่เบื้องต้น ยังไม่พบเดินทางออกนอกประเทศ

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวด้วยว่า กรณีนี้ได้มีการตรวจสอบพบว่ามีตำรวจระดับสารวัตร สังกัด กก.สส.น.5 เกี่ยวข้องจริง ยอมรับว่าได้มีการเข้าจับกุมชาวเกาหลี 3 รายจริง แต่ไม่ใช่กลุ่มผู้เสียหาย และเชื่อว่าถูกกลุ่มนายคิมย้อนรอยกรรโชกทรัพย์กลุ่มผู้เสียหาย

ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้ควบคุมตัวนายคิม ซึง ชอล (MR. KIM SEUNG CHEUL ) อายุ 43 ปี ชาวเกาหลีใต้ ผู้ต้องหา ที่ร่วมกับพวก กระทำผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ,กรรโชกทรัพย์ และร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน เพื่อนร่วมชาติ 3 คน เพื่อเรียกค่าไถ่ ภายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่าน ซ.สุขุมวิท 71 กทม. มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 – 25 ม.ค.นี้ เนื่องจากยังต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติม อีกหลายปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์มือ ผู้ต้องหา รอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง จากกองพิสูจน์หลักฐาน และอื่นๆ ชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ และผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ เกรงว่า หากปล่อยชั่วคราวจะไปข่มขู่พยาน และหลบหนี

ศาลพิจารณาคำร้อง และสอบถามผู้ต้องหาผ่านล่าม แล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ด้าน พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอีก 1 คน และการสอบสวนขยายผลไปถึงตำรวจชุดจับกุม และผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.สิรวิชญ์ มหัทธนวิศิษฏ์ และ พ.ต.ต.ภาณุมาศ แสงส่ง สว.กก.1 บก.ป.เร่งออกติดตามตัว นายโจว ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมาสืบทราบว่าได้หลบออกจากที่พักซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่เชื่อว่ายังคงหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ได้เดินทางออกต่างจังหวัด และคงไม่สามารถหลบหนีออกนอกประเทศตามช่องทางปกติได้ เนื่องจากมีหมายจับติดตัวอยู่ และกองปราบฯ ได้ประสานไปยัง สตม. เพื่อสกัดกั้นและปิดช่องทางออกต่างประเทศของผู้ต้องหารายนี้แล้ว

พ.ต.อ.จิรภพ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการสืบสวนขยายผลว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้องกับการเรียกค่าไถ่ครั้งนี้หรือไม่นั้น เบื้องต้น นายคิม หนึ่งในผู้ต้องหายังไม่มีการซัดทอด แต่อย่างไรก็ตามผู้เสียหายทั้ง 3 คนได้ให้การซัดทอดว่ามีกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้องกับการเรียกค่าไถ่ครั้งนี้ด้วย จึงถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่งที่จะขยายผลไปถึงกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้อาจจะต้องนำภาพถ่ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมมาให้ผู้เสียหายชี้ตัว และหากมีการชี้ตัวยืนยันได้อย่างถูกต้องก็จะต้องพิจารณาขอหมายจับ หรือหมายเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดี แต่ในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นตำรวจก็อาจจะไม่ต้องขอศาลออกหมายจับ เนื่องจากเป็นข้าราชการมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จึงอาจจะออกหมายเรียกเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาก็ได้ จากนั้นพนักงานสอบสวนก็จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำส่งอัยการส่งฟ้องศาลพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันต่อไป โดยกองปราบฯ จะให้ความเป็นธรรมกันทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นกลางที่สุด

แหล่งข่าวชุดสืบสวนกองปราบปราม กล่าวว่า ขณะนี้การสืบสวนคืบหน้าไปมากพอสมควร และชัดเจนแล้วว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการอุ้มเรียกค่าไถ่ครั้งนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องนั้นมีตั้งแต่ระดับ สารวัตร รองสารวัตร และตำรวจชั้นประทวน รวมทั้งสิ้น 12 นาย ในจำนวนนี้เป็นตำรวจ กองกำกับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 5 (กก.สส.น. 5) และตำรวจในนครบาล 10 นาย ตำรวจกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว (บก.ทท.) 1 นาย และ ตำรวจกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) 1 นาย นอกจากนี้ยังมีพลเรือนอีกอย่างน้อย 1 คนเกี่ยวข้องกับแก๊งอุ้มเรียกค่าไถ่ครั้งนี้ด้วย ซึ่งพลเรือนที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นพบว่าทำงานเป็นสายลับให้กับตำรวจท่องเที่ยว และเป็นคนที่รับเงินจาก นายคิม จำนวน 1 ล้านบาท ที่นำมามอบให้ที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาอ่อนนุช เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 9 ม.ค. โดยในส่วนนี้ชุดสืบสวนได้ภาพวงจรปิดมาเป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนแล้ว ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวนำไปแบ่งสันปันส่วนกันอย่างไรนั้น กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวมทั้งหาหลักฐานอื่นๆ ประกอบเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับกลุ่มตำรวจเหล่านี้ต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น