ศาลพิพากษายกฟ้อง อดีต สจ. ปราจีนบุรีกับพวก 6 ราย คดีฮั้วประมูลโครงการก่อสร้างในจังหวัด ปี 55 ชี้หลักฐานยังมีข้อพิรุธสงสัยตามสมควร แต่ให้ยึดเงินของกลาง 6 หมื่นบาทไว้
ที่ห้องพิจารณา 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (24 ธ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.922/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเต็มพงษ์ หรือโต้ง ฤทธิ์เดช อดีต ส.อบจ.ปราจีนบุรี นายอุทิศ หรือตึ๋ง ฤทธิ์เดช จ่าเอกศตวรรษ หรือแก๋ง อาจโยธา นายเชิดเกียรติ หรือชาด เกษมสุข นายตะวัน ฤทธิ์เดช และนายพรชัย ระวังภัย เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันให้หรือรับว่าจะให้เงินแก่ผู้อื่นเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา และร่วมกันข่มขืนใจไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ม. 3, 5, 6 และ 13 กรณีฮั้วประมูลและขัดขวางเอกชนรายอื่นจำนวน 12 รายไม่ให้เข้าร่วมประมูลโครงการในจังหวัด
อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2556 บรรยายความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 5-13 พ.ย.55 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นส.อบจ.ปราจีนบุรี ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2-6 ขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทเอกชนทั้ง 12 คน เข้าไปซื้อเอกสารร่วมประมูลโครงการก่อสร้างในจังหวัดได้ โดยเสนอให้และรับว่าจะให้เงินจำนวนหนึ่งแก่ผู้เสียหาย และแสดงพฤติการณ์ข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหาย เหตุเกิดที่อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เมื่อถึงเวลานัดเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลยทั้งหกมาจากเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ โดยมีญาติๆ ร่วมเดินทางมาฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำนวนมาก
ศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 5-13 พ.ย.2555 ทาง อบจ.ปราจีนบุรีได้เปิดประมูลโครงการรับเหมาก่อสร้าง โดยมีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการยื่นซองประกวดราคาด้วย ขณะที่พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.ภ.2 ขณะนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมตัวเข้าไปเป็นบุคคลที่เข้ายื่นซองประกวดเสนอราคา ตามนโยบายปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพล
ซึ่งโจทก์ มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปลอมตัวเข้ายื่นซองประกวดราคา หลายปาก เบิกความว่า พบจำเลยที่ 4 ยืนอยู่บริเวณทางเข้า อบจ.ปราจีนบุรี พร้อมกับเดินเข้ามาถามพยานว่ามาทำอะไร เมื่อทราบว่าจะมาร่วมยื่นซองประกวดราคา จำเลยที่ 4 จึงบอกให้พยานไปรอที่ร้านอาหารในบริเวณนั้นจะมีคนเข้ามาแจรจาด้วย พร้อมทั้งเสนอว่าจะมีการโอนเงินให้ เมื่อพยานไม่สามารถเข้าไปร่วมยื่นซองประมูลราคาได้เพราะถูกกีดกัน พยานจึงจำยอมให้เลขที่บัญชีกับจำเลยเพื่อให้โอนเงินตามที่เสนอกัน และแม้ยังมีพยานเบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 ใช้มือตบหน้าบุคคลโดยมีหลักฐานเป็นภาพวีดีโอนั้น แต่ก็เป็นภาพที่ไม่ชัดเจน ซึ่งบุคคลดังกล่าวอาจจะเป็นคนขับรถของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยอ้างก็ได้
สำหรับหลักฐานที่อ้างว่าเป็นเทปการสนทนานั้นก็เป็นการพูดคุยของนายศศิธร หย่งศรี เจ้าของบัญชีและเป็นผู้โอนเงินให้กับพยาน ซึ่งพยานโจทก์ทุกปากให้การพาดพิงถึงนายศศิธรที่น่าเชื่อเป็นตัวการสำคัญ แต่กำลังหลบหนีอยู่ โดยการฮั้วประมูลนั้นน่าจะต้องมีการกระทำเป็นกระบวนการ แต่ก็ไม่ปรากฏว่านายศศิธรมีความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
แม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สืบสวนสอบสวนพบว่า จำเลยทั้งหกอยู่ในสถานที่ที่เกิดเหตุจริง แต่กรณีก็ยังมีเหตุสงสัยอยู่มาก ว่าจำเลยทั้งหกเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิก อบจ.ปราจีนบุรี ด้วยหรือไม่ พยานหลักฐานยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง ส่วนเงินจำนวน 60,000 บาทที่มีการโอนให้พยาน ให้ยึดไว้เป็นของกลาง เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่กระทำผิด
ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งหมดต่างร่ำไห้เข้าสวมกอดญาติๆ ละขอบคุณศาลที่เมตรา
ที่ห้องพิจารณา 803 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (24 ธ.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.922/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเต็มพงษ์ หรือโต้ง ฤทธิ์เดช อดีต ส.อบจ.ปราจีนบุรี นายอุทิศ หรือตึ๋ง ฤทธิ์เดช จ่าเอกศตวรรษ หรือแก๋ง อาจโยธา นายเชิดเกียรติ หรือชาด เกษมสุข นายตะวัน ฤทธิ์เดช และนายพรชัย ระวังภัย เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันให้หรือรับว่าจะให้เงินแก่ผู้อื่นเพื่อจูงใจให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา และร่วมกันข่มขืนใจไม่เข้าร่วมในการเสนอราคา โดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ม. 3, 5, 6 และ 13 กรณีฮั้วประมูลและขัดขวางเอกชนรายอื่นจำนวน 12 รายไม่ให้เข้าร่วมประมูลโครงการในจังหวัด
อัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2556 บรรยายความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 5-13 พ.ย.55 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นส.อบจ.ปราจีนบุรี ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2-6 ขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทเอกชนทั้ง 12 คน เข้าไปซื้อเอกสารร่วมประมูลโครงการก่อสร้างในจังหวัดได้ โดยเสนอให้และรับว่าจะให้เงินจำนวนหนึ่งแก่ผู้เสียหาย และแสดงพฤติการณ์ข่มขู่จะทำร้ายผู้เสียหาย เหตุเกิดที่อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี เมื่อถึงเวลานัดเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลยทั้งหกมาจากเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพ โดยมีญาติๆ ร่วมเดินทางมาฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจจำนวนมาก
ศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 5-13 พ.ย.2555 ทาง อบจ.ปราจีนบุรีได้เปิดประมูลโครงการรับเหมาก่อสร้าง โดยมีกลุ่มบุคคลเข้าขัดขวางการยื่นซองประกวดราคาด้วย ขณะที่พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.ภ.2 ขณะนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมตัวเข้าไปเป็นบุคคลที่เข้ายื่นซองประกวดเสนอราคา ตามนโยบายปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพล
ซึ่งโจทก์ มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปลอมตัวเข้ายื่นซองประกวดราคา หลายปาก เบิกความว่า พบจำเลยที่ 4 ยืนอยู่บริเวณทางเข้า อบจ.ปราจีนบุรี พร้อมกับเดินเข้ามาถามพยานว่ามาทำอะไร เมื่อทราบว่าจะมาร่วมยื่นซองประกวดราคา จำเลยที่ 4 จึงบอกให้พยานไปรอที่ร้านอาหารในบริเวณนั้นจะมีคนเข้ามาแจรจาด้วย พร้อมทั้งเสนอว่าจะมีการโอนเงินให้ เมื่อพยานไม่สามารถเข้าไปร่วมยื่นซองประมูลราคาได้เพราะถูกกีดกัน พยานจึงจำยอมให้เลขที่บัญชีกับจำเลยเพื่อให้โอนเงินตามที่เสนอกัน และแม้ยังมีพยานเบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 ใช้มือตบหน้าบุคคลโดยมีหลักฐานเป็นภาพวีดีโอนั้น แต่ก็เป็นภาพที่ไม่ชัดเจน ซึ่งบุคคลดังกล่าวอาจจะเป็นคนขับรถของจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยอ้างก็ได้
สำหรับหลักฐานที่อ้างว่าเป็นเทปการสนทนานั้นก็เป็นการพูดคุยของนายศศิธร หย่งศรี เจ้าของบัญชีและเป็นผู้โอนเงินให้กับพยาน ซึ่งพยานโจทก์ทุกปากให้การพาดพิงถึงนายศศิธรที่น่าเชื่อเป็นตัวการสำคัญ แต่กำลังหลบหนีอยู่ โดยการฮั้วประมูลนั้นน่าจะต้องมีการกระทำเป็นกระบวนการ แต่ก็ไม่ปรากฏว่านายศศิธรมีความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
แม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สืบสวนสอบสวนพบว่า จำเลยทั้งหกอยู่ในสถานที่ที่เกิดเหตุจริง แต่กรณีก็ยังมีเหตุสงสัยอยู่มาก ว่าจำเลยทั้งหกเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิก อบจ.ปราจีนบุรี ด้วยหรือไม่ พยานหลักฐานยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง ส่วนเงินจำนวน 60,000 บาทที่มีการโอนให้พยาน ให้ยึดไว้เป็นของกลาง เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่กระทำผิด
ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งหมดต่างร่ำไห้เข้าสวมกอดญาติๆ ละขอบคุณศาลที่เมตรา