xs
xsm
sm
md
lg

เยอะจัด! สมบัติยังนับไม่เสร็จ “พงศ์พัฒน์” อาจเจอแจ้งข้อหาเพิ่มอีก เรียก “ตำรวจส่งส่วย” ง้างปากเป็นพยาน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ASTVผู้จัดการ - สมบัติ “พงศ์พัฒน์” ยังนับไม่เสร็จ เฉพาะวัตถุโบราณต้องให้ผู้ชำนาญจากกรมศิลป์มาช่วยตรวจ เผยถ้าเจอเป็นสมบัติแผ่นดินก็เพิ่มข้อหาทันที ด้าน 5 พลเรือนสกุล “อัครพงศ์ปรีชา” อ้างเบื้องสูงทวงหนี้ 30 ล้าน แค้นไม่ยอมจ่ายเลยจับไปเป็นตัวประกัน ชี้เหตุเรียกตำรวจซื้อขายเก้าอี้-ส่งส่วยสอบปากคำ ขยายจากคำซัดทอดอดีต ผกก.1 บก.ป. “อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์” ที่คายความจริงไว้ก่อนตาย

ความคืบหน้าคดีสะท้านยุทธจักรสีกากีกรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กับพวกรวม 12 คน ถูกดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่เป็นข่าวสำคัญโดยสังคมไทยให้ความสนใจอยู่นั้น มีรายงานข่าวว่า เนื่องจากเป็นข้อหาร้ายแรง มีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก อีกทั้งยังมีทรัพย์สินซึ่งถือเป็นของกลางจำนวนมหาศาล จึงจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ และใช้เวลาในกรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด

คณะสอบสวนกองปราบปรามได้ร่วมประชุมแบ่งสำนวนคดีให้อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละคนไปแล้ว ทั้งนี้คดียังตัองแสวงหาพยานเพิ่มและตรวจสอบหลักฐานกันต่อไป นอกจากวางแนวทางการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดแล้วยังต้องสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีเรื่องของการรวบรวมของกลางได้แก่ทรัพย์สินต่างๆ ประกอบด้วย เงินสดทั้งธนบัตรไทยและต่างประเทศ ทองคำแท่ง ทองคำรูปพรรณ เครื่องประดับต่างๆ นาฬิการาคาแพง พระเครื่อง พระพุทธรูป ตลอดจนเครื่องลายคราม โฉนดที่ดินอีกปึกใหญ่ และรถยนต์ชนิดต่างๆ กว่า 20 คัน คาดว่าทั้งหมดน่าจะเกิน 1 แสนชิ้นขึ้นไป แม้ก่อนหน้าจะมีการลงบันทึกเอาไว้แล้ว

มีรายงานด้วยว่า การรวบรวมของกลางเฉพาะในส่วนของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ อดีต ผบช.ก.ยังไม่เสร็จสิ้นง่ายๆ โดยนอกจากจะมีจำนวนมากตามที่ทราบแล้ว เฉพาะวัตถุโบราณต่างๆ เช่น พระพุทธรูป กระเบื้องเคลือบ ตลอดจนเครื่องสังคโลก จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากรมาช่วยตรวจสอบด้วยว่าชิ้นไหนของแท้ชิ้นไหนของปลอม เพื่อประเมินมูลค่าอีกทั้งยังสืบค้นต่อไปว่ามีวัตถุโบราณใดที่เป็นของแผ่นดิน หากพบว่าเป็นทรัพย์ที่ขึ้นบัญชีทรัพย์สินของแผ่นดินไว้ก็จะเพิ่มข้อลักทรัพย์หรือรับของโจรต่อไป
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.)

มีรายงานด้วยว่า ต่อกระแสข่าวที่สร้างความหวาดวิตกแก่ข้าราชการในส่วนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีการปล่อยออกมาว่าจะกวาดล้างหมดทั้งบางนั้นนายตำรวจผู้หนึ่งในคณะทำงานเผยว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด การสอบสวนดำเนินคดีจะเป็นไปตามคำซัดทอดของ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีตผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.1 บก.ป.) คนสนิทของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์เท่านั้น การทำงานก็ยังคงเดินหน้าต่อไปแต่ไม่มีการยัดเยียดข้อหาหรือกลั่นแกล้งผู้ใดทั้งสิ้น จึงขอให้อย่าหวาดวิตกกันไป ส่วนการโยกย้ายที่จะตามมานั้นเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาจะเห็นความเหมาะสม ถ้าใครไม่มีปัญหาก็คงไม่มีอะไร
พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต อดีตผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม (แฟ้มภาพ)
ส่วนการจับกุม 5 พลเรือนสกุล “อัครพงศ์ปรีชา” คือ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา, นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา, นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา, นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาเปิดเผยว่าเป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่แอบอ้างสถาบันฯมีการทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบทั้งนี่เหตุเกิดในท้องที่ สน.พระโขนง

มีรายงานเพิ่มเติมว่า มีมูลเหตุมาจากนายณัฐพลซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มบุคคลดังกล่าวตามทวงหนี้หญิงคนหนึ่งโดยอ้างว่ายืมเงินไปจำนวน 30 ล้านบาท แต่ในการติดตามปรากฏว่าฝ่ายลูกหนี้บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด ครั้งสุดท้ายนายณัฐพลติดตามไปที่บ้านพักย่านพระโขนง แต่ไม่พบเป้าหมายจึงจับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านมากักตัวไว้ทำการต่อรองเรื่องหนี้สิน มีการอ้างถึงบุคคลสำคัญตลอดเวลาด้วยทำให้หญิงลูกหนี้ต้องนำเงินจำนวน 30 ล้านบาทมาใช้คืนให้เป็นค่าไถ่ ต่อจากนั้นกลุ่มนายณัฐพลได้ใช้ผ้าปิดตาทั้งสองแล้วขับรถนำไปปล่อยข้างถนนกระทั่งมีการแจ้งความดำเนินคดีเหตุเกิดต้นปี 2557 ที่ผ่านมา


กำลังโหลดความคิดเห็น