ศาลฎีกาพิพากษากลับ จำคุก “บ๊วย-เอ๋” พิธีกรชื่อดังรายการคันปาก 2 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท และรอลงอาญาไว้ 1 ปี หลังจัดรายการหมิ่นประมาท “ไผ่ วันพอยท์” นักแข่งรถชื่อดัง ชี้ถ้อยคำของจำเลยทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและอาจทำให้สังคมเกิดความวุ่นวายได้
ที่ห้องพิจารณาคดี 710 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (25 พ.ย.) ศาลอออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1888/2552 ที่นายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชร พรรคเพื่อไทย เป็นโจทก์ฟ้องนายเชษฐวุฒิ หรือ บ๊วย วัชรคุณ และ น.ส.พรทิพย์ หรือเอ๋ วงศ์กิจจานนท์ 2 พิธีกรรายการคันปาก ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 กรณีที่จำเลยทั้งสองพูดหมิ่นประมาทในรายการคันปากทางช่อง 7 สี ทำนองว่า โจทก์พานางเอกสาวรายหนึ่งไปเสพยาเสพติดที่บ้านพักซึ่งล้วนเป็นความเท็จ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2553 ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 จำคุกคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 30,000 บาท คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 2 เดือน ปรับคนละ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2556 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า โจทก์เบิกความว่า โจทก์ชื่นชอบการแข่งขันรถยนต์ระยะสั้นและเป็นนักแข่งรถ ตั้งชื่อกลุ่มว่า “วันพอยท์” คนทั่วไปทราบดีว่า “ไผ่ วันพอยท์” หมายถึงสมญานามของโจทก์ และสามารถค้นหาได้ทางอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ โจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความสนับสนุนว่าโจทก์ใช้สมญานามนี้จริง โดยโจทก์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2550 และได้ใช้สมญานามนี้ในการหาเสียง แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง แต่ก็ได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ทำให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป จึงฟังได้ว่ามีคนใช้สมญานามนี้ ขณะที่จำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่า “ไผ่ วันพอยท์” หมายถึงใคร จึงฟังได้ว่าหมายถึงตัวโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองพูดออกไปในรายการดังกล่าวเมื่อวันที่ 22-27 พ.ค. 2552 โดยใช้คำว่านางเอกสาวหนีไปเสพยาเสพติดที่บ้านพักของโจทก์ ทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าโจทก์ใช้ยาเสพติด การพูดเช่นนี้เป็นคำพูดที่รุนแรงแม้จำเลยอ้างว่าพูดตามบทที่ทีมงานเตรียมไว้ให้ และเป็นการรายงานตามข้อเท็จจริงที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ ก็เป็นเพียงข้อกล่าวอ้าง ฟังไม่ขึ้น และเมื่อจำเลยพูดผ่านสื่อโทรทัศน์ จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการโฆษณา และหากคำกล่าวของจำเลยทั้งสองไม่ถือเป็นความผิด ก็คงจะไม่เป็นธรรมกับบุคคลทั่วไปที่ถูกกล่าวถึง จนทำให้สังคมเกิดความวุ่นวายได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 30,000 บาท คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 2 เดือน ปรับคนละ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี
ภายหลังนายเชษฐวุฒิ หรือบ๊วย กล่าวสั้นๆ เพียงว่ารู้สึกโล่งอกมาก ภายหลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จและถือว่านี้คดีจบสิ้่นแล้ว
ด้านนายสาคร ศิริชัย ทนายของโจทก์กล่าวว่า พอใจคำพิพากษาที่ศาลฎีกาลงโทษตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยไว้คนละ 2 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท เป็นการต่อสู้เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของโจทก์กลับคืนมา และจะเป็นบรรทัดฐานให้แก่สังคมต่อไป